แนวทางการเตรียมตัวสอบ TOEFL ITP (Institutional Testing Program) อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยภาพรวมข้อสอบ กลยุทธ์การเตรียมตัว ตารางแผนการเรียน 8 สัปดาห์ และแหล่งเรียนรู้แนะนำ

1. ภาพรวมข้อสอบ TOEFL ITP

• โครงสร้างข้อสอบ
  
  

  • Listening Comprehension (Aural–Oral)
    
    

  • Structure and Written Expression (Grammar & Usage)
    
    

  • Reading Comprehension (Academic Passages)
    
    

• คะแนนเต็ม 677 คะแนน แบ่งเป็น
  
  

  • Listening: 68 ข้อ (31–68 คะแนน)
    
    

  • Structure: 15 ข้อ (31–68 คะแนน)
    
    

  • Reading: 50 ข้อ (31–67 คะแนน)
    
    

• เวลาทดสอบ ประมาณ 2 ชั่วโมง
  
  

2. กลยุทธ์การเตรียมตัว

2.1 ทำข้อทดสอบประเมินจุดอ่อน

• หา Diagnostic Test จากหนังสือหรือเว็บไซต์ (เช่น ETS, Cambridge)
  
  

• วิเคราะห์คะแนนแยกแต่ละพาร์ท เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการฝึก
  
  

2.2 พัฒนาทักษะ Listening

• ฟังบทสนทนา – บรรยาย – บรรยายวิชาการ จากแหล่งต่างๆ (TED Talks, VOA, BBC)
  
  

• จดโน้ตแบบสั้น (keywords) แล้วฝึกจับใจความหลัก–รอง
  
  

• ฝึกทำ Listening Section ของหนังสือ Cambridge ITP หรือ Barron’s ITP ทุกสัปดาห์
  
  

2.3 ทบทวนโครงสร้างภาษา (Structure & Written Expression)

• ทบทวน Grammar พื้นฐาน:
  
  

  • Tenses, Subject–Verb Agreement
    
    

  • Relative Clauses, Gerund/Infinitive
    
    

  • Prepositions, Modal Verbs
    
    

• ทำแบบฝึกหัดโครงสร้างจาก Official Guide (ETS) และหนังสือ Structure & Written Expression
  
  

2.4 พัฒนาทักษะ Reading

• อ่าน Academic Texts: บทความวิชาการ สรุปใจความและคำศัพท์ใหม่
  
  

• ฝึก skimming (อ่านรวดเร็วหา main idea) และ scanning (หา detail)
  
  

• ทำชุด Reading Comprehension ทุกสัปดาห์
  
  

2.5 สร้างกลยุทธ์บริหารเวลา

• จัดตารางจับเวลา (Timer) ระหว่างฝึกทำข้อสอบจำลอง
  
  

• ฝึกทำ Full‑length Test 1–2 ครั้งก่อนวันสอบจริง เพื่อคุมเวลาให้ชิน
  
  

3. แผนการเรียน 8 สัปดาห์

สัปดาห์ กิจกรรมหลัก ชั่วโมง/สัปดาห์

1–2 – ทำ Diagnostic Test วิเคราะห์จุดอ่อน 8–10

– ทบทวน Grammar พื้นฐาน (Tenses, Agreement)

3–4 – ฝึก Listening (Cambridge ITP) 2 ชุด/สัปดาห์ 10–12

– ทำ Structure & Written 2 ชุด/สัปดาห์

5–6 – ฝึก Reading Comprehension 3 ชุด/สัปดาห์ 8–10

 – จับเวลา Skimming/Scanning

7 – ทำ Full‑length Test 1 ชุด (ครบทุกพาร์ท) 6–8

– วิเคราะห์ผล แก้จุดอ่อนสุดท้าย

8 – ทำ Full‑length Test 1 ชุด 6–8

– ทบทวนคำศัพท์ Academic 200–300 คำ

– ฝึกเทคนิคบริหารเวลา

หมายเหตุ: ปรับจำนวนชุดและชั่วโมงตามตารางเวลาส่วนตัวของคุณได้

4. แหล่งเรียนรู้แนะนำ

1. หนังสือ
   
   

   • Official TOEFL ITP Tests (ETS)
     
     

   • Cambridge Preparation for the TOEFL Test (Cambridge)
     
     

   • Barron’s TOEFL ITP
     
     

2. เว็บไซต์ & แอปพลิเคชัน
   
   

   • ETS TOEFL ITP sample tests (ฟรี PDF)
     
     

   • Quizlet (สร้าง Flashcards คำศัพท์ Academic)
     
     

   • YouTube Channels: “VOA Learning English”, “BBC Learning English”
     
     

3. ชุมชน &ติวเตอร์
   
   

   • กลุ่ม Facebook: TOEFL ITP Thailand
     
     

   • คอร์สออนไลน์ (Academia, Coursera)
     
     

วันที่ กิจกรรมหลัก เวลา (ชม.)

1 – ทำ Diagnostic Test ครบทั้ง 3 พาร์ท (Listening, Structure, Reading) วิเคราะห์จุดอ่อน 3–4

– ทบทวน Grammar พื้นฐาน (Tenses, Agreement, Relative Clauses)

2 – ฝึก Listening: ทำแบบฝึกหัด 2 ชุด จดโน้ต keywords 3–4

  – Structure & Written: ทำข้อสอบ 1 ชุด ทบทวนข้อผิด

3 – ฝึก Reading Comprehension: ทำ 2 ชุด ฝึก Skimming/Scanning จับเวลา 3–4

  – Structure: ทำอีก 1 ชุดเน้น prepositions & modals

4 – ทำ Full‑length Test 1 ชุด (จับเวลา 2 ชม.) 3–4

   – วิเคราะห์ผล แก้จุดอ่อนสุดท้าย (เน้นพาร์ทที่คะแนนต่ำที่สุด)

5 – ทบทวนคำศัพท์ Academic 200–300 คำ (จัดเป็นกลุ่มหัวข้อ) 2–3

  – ฝึกเทคนิคบริหารเวลา (จับเวลา quick drills: Listening 4 นาที/10 ข้อ, Reading 3 นาที/5 ข้อ)

6 – เช้า ทบทวนแบบย่อ (Grammar key points & Vocabulary summary) 30 นาที 1.5

  – เตรียมอุปกรณ์ (ดินสอ ไม้บรรทัด นาฬิกา) เดินทางให้ถึงสถานที่ก่อน 8:30

หมายเหตุ:

• ปรับเวลาเรียน-พักตามตารางชีวิตได้ แต่พยายามรักษาโฟกัสในแต่ละเซสชันไม่เกิน 60 นาที แล้วพัก 10–15 นาที

• คืนก่อนสอบ (22 เม.ย.) ควรพักผ่อนให้เต็มที่ และงดฝึกหนัก

สรุปทบทวน Grammar พื้นฐาน 3 เรื่อง ได้แก่ Tenses, Subject–Verb Agreement และ Relative Clauses พร้อมตัวอย่างประกอบ เพื่อช่วยให้ทบทวนได้อย่างรวดเร็ว

1. Tenses หลักๆ และการใช้งาน

Tense รูปแบบ การใช้งานหลัก ตัวอย่าง

Present Simple S + V₁ (เติม -s กับ he/she/it) – ข้อเท็จจริงทั่วไป She works at 8 every morning.

    – นิสัย/กิจวัตรประจำวัน

Present Continuous S + is/am/are + V‑ing – กำลังเกิดขึ้นขณะพูด I am studying for the exam now.

    – แผนในอนาคตอันใกล้

Past Simple S + V₂ (กริยา -ed หรือรูป 2) – บอกเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นและจบแล้ว They visited Japan last year.

Present Perfect S + have/has + V₃ (past participle) – เหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบัน She has lived here for five years.

Past Perfect S + had + V₃ – บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์ในอดีต By the time I arrived, they had left.

Future Simple S + will + V₁ – การคาดการณ์/การตัดสินใจทันที I will call you tomorrow.

Be going to S + am/is/are + going to + V₁ – แผน/เจตนาที่วางไว้ก่อนแล้ว We are going to start at nine.

2. Subject–Verb Agreement

1. ประธานเอกพจน์ → กิริยาเติม -s/-es
   
   

   • He/She/It plays, watches, does
     
     

2. ประธานพหูพจน์ → กิริยารูปดั้งเดิม
   
   

   • They play, watch, do
     
     

3. ประธานที่ประกอบด้วย and → ใช้พหูพจน์
   
   

   • My friend and I are going.
     
     

4. Collective nouns (e.g., team, family)
   
   

   • ถ้ามองเป็นหน่วยเดียว → เอกพจน์: The team wins.
     
     

   • ถ้ามองสมาชิกแต่ละคน → พหูพจน์: The team are arguing among themselves.
     
     

5. Neither… nor, either… or
   
   

   • กริยาตรงกับประธานข้างหลังใกล้กริยา
     
     

   • Neither he nor his friends are here.
     
     

6. Amounts/Nouns of quantity (e.g., five dollars, a lot of)
   
   

   • Five dollars is too much.
     
     

   • A lot of people are waiting.
     
     

3. Relative Clauses

ประเภท คำเชื่อม (Relative Pronoun) จุดสังเกต ตัวอย่าง

Defining who, which, that – ไม่ใช้ comma The man who called you is here.

    – ขาดไม่ได้

Non‑defining who, which, whose – ต้องมี comma My car, which is red, belongs to my brother.

    – ขาดได้ (เพิ่มข้อมูล)

• who ใช้กับคน
  
  

• which ใช้กับสิ่งของหรือสัตว์
  
  

• that ใช้กับคน/สิ่งของ (ใน defining clause เท่านั้น)
  
  

• whose แสดงความเป็นเจ้าของ (ใช้ได้ทั้งคน/สิ่งของ)
  
  

ตัวอย่างเพิ่มเติม

• Defining: Students who study hard get good grades.
  
  

• Non‑defining: John, whose sister lives abroad, is visiting next week.

คำแนะนำเพิ่มเติม

• ฝึกเขียนประโยคสั้นๆ ทีละ tense แล้วเปลี่ยนให้เป็น tense อื่น
  
  

• ทำแบบฝึกหัด agreement ในหนังสือ Cambridge ITP
  
  

• เลือกประโยคในบทความวิชาการ แล้วระบุว่า relative clause เป็น defining หรือ non‑defining

สรุปแนวทางและเทคนิคทบทวนพาร์ท Structure & Written Expression สำหรับข้อสอบ TOEFL ITP อย่างเป็นระบบ

1. โครงสร้างข้อสอบพาร์ท Structure & Written Expression

1. Error Identification (Part A)
   – ให้เลือกส่วนของประโยคที่ “ผิด” (A, B, C) หรือเลือก D ถ้าไม่มีข้อผิด
   
   

2. Sentence Completion (Part B)
   – ให้เติมคำหรือวลีที่เหมาะสมที่สุดลงในช่องว่าง
   
   

2. ประเภทข้อผิดพบบ่อยและกฎไวยากรณ์สำคัญ

ประเภทข้อผิดพลาด กฎไวยากรณ์สำคัญ ตัวอย่าง

Subject–Verb Agreement – ประธานเอกพจน์ ↔ กิริยาเติม -s/-es – He plays tennis.

– ประธานพหูพจน์ ↔ กิริยา base form – The children play outside.

Verb Form & Tense – Past vs. Past Participle (V₂ vs. V₃) – She has written three letters.

   – Perfect vs. Simple vs. Continuous   – They wrote yesterday.

Modals & Passive – Modal + base form (can, must, should) – You must submit by Monday.

   – Passive: be + V₃   – The paper was submitted.

Conditionals – Type 0–3 (real vs. unreal past/future) – If I had known, I would have come earlier.

   – If + past perfect → would have + V₃ 

Parallelism – ในลิสต์หรือโครงสร้างที่เทียบเท่า ต้องใช้รูปแบบเดียวกัน – She likes swimming, running, and cycling.

Pronoun Reference – Pronoun ต้องชัดเจนว่าอ้างถึงอะไร (antecedent) – When Mary arrived, she called home.

Relative Clauses – Defining (no commas, that/who/which) – The book that I bought is new.

   – Non‑defining (with commas, which/who/whose)   – My car, which is red, was sold.

Correlative Conjunctions – Neither… nor, either… or ↔ verb concord กับส่วนหลัง

   – Neither the manager nor the staff are available.

3. กลยุทธ์การทำข้อสอบ

1. อ่านโจทย์ก่อนลงมือดูตัวเลือก
   – ใน Part B ดูช่องว่างกับบริบทประโยค แล้วค่อยสแกนตัวเลือก
   
   

2. สแกนหาคำผิดในประโยค (Part A)
   – เริ่มดูที่ Subject–Verb, verb form, tense ก่อน
   – ถ้าผ่านขั้นแรกให้เช็ก preposition, conjunction, pronoun ตามลำดับ
   
   

3. ใช้ elimination method
   – ตัดตัวเลือกที่ชัดเจนไม่ตรงหลักไวยากรณ์ออกก่อน
   
   

4. จับคีย์เวิร์ดบ่งชี้ tense และ voice
   – Words like “by the time”, “already” → past perfect<br>– “must”, “should” → modal passive
   
   

5. ฝึกทำ under timed conditions
   – ฝึกจับเวลาเพื่อให้คุม pace ของทั้งพาร์ทได้
   
   

4. ตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อผิด

The committee (A) has decided (B) to postpone the meeting (C) until next week.
– ตรวจสอบ Subject–Verb Agreement: “committee” = collective noun → มองเป็นหน่วยเดียวจึงใช้เอกพจน์ “has decided” ถูกต้อง → ไม่มีข้อผิด (D)

Every student and teacher (A) are expected (B) to arrive on time (C).
– “Every student and teacher” แม้มีสองนาม แต่ใช้โครงสร้าง “Every + Noun” จึงเป็นเอกพจน์ → ต้องใช้ “is expected” → ข้อผิดอยู่ที่ B

5. ฝึกทำเพิ่มเติม

• รวบรวมหนังสือ Cambridge ITP และ Official Guide ของ ETS
  
  

• ทำข้อ Error Identification และ Sentence Completion อย่างละ 3–5 ชุดต่อสัปดาห์
  
  

• วิเคราะห์คำตอบแบบละเอียด พร้อมจดบันทึกข้อผิดและทบทวนกฎทีละหัวข้อ

ชุดฝึก Structure & Written Expression จำนวน 15 ข้อ เมื่อทำเสร็จแล้วให้ตรวจคำตอบและอ่านคำอธิบายเพื่อทบทวนข้อผิดได้เลยครับ

ชุดฝึก Structure & Written Expression

Part A: Error Identification (5 ข้อ)

แต่ละข้อมีประโยคหนึ่ง แยกเป็นส่วน A, B, C ให้เลือกส่วนที่ผิด (หรือเลือก D ถ้าไม่มีข้อผิด)

1. The committee (A) has decided (B) to postpone the meeting (C) until next week.
   
   

2. Every student and teacher (A) are expected (B) to arrive on time (C) for the opening ceremony.
   
   

3. Neither the manager nor his assistants (A) knows (B) the details of the report (C).
   
   

4. The data (A) indicates (B) a significant trend (C) in consumer behavior.
   
   

5. She was interested (A) in learning (B) how to use (C) the new software programs.
   
   

Part B: Sentence Completion (10 ข้อ)

เติมคำหรือวลีที่เหมาะสมที่สุดลงในช่องว่าง

6. If he _______ earlier, he would have caught the beginning of the lecture.
   A) arrived B) had arrived C) would arrive D) arrives
   
   

7. The report must _______ by Friday afternoon without fail.
   A) submit B) be submitted C) submitting D) to submit
   
   

8. _______ she hadn’t practiced so much, she wouldn’t have performed so well.
   A) Unless B) If C) Because D) Even though
   
   

9. The university plans _______ a new research center next year.
   A) establish B) to establish C) establishing D) have established
   
   

10. He insisted that she _______ the documents before leaving the office.
    A) signs B) signing C) sign D) to sign
    
    

11. The guidelines, _______ are clearly stated in the manual, must be followed.
    A) which B) that C) who D) whose
    
    

12. By the time the guests arrived, the host _______ all the preparations.
    A) completes B) had completed C) has completed D) was completing
    
    

13. They decided to delay the project _______ funding was secured.
    A) because B) though C) until D) despite
    
    

14. Neither the CEO nor the board members _______ willing to compromise.
    A) is B) are C) were D) have been
    
    

15. Students _______ submit their assignments electronically from now on.
    A) must B) must to C) have to D) are to
    
    

เฉลยและคำอธิบาย

ข้อ คำตอบ คำอธิบาย

1 D แต่ละส่วนไม่มีข้อผิดพลาด (no error).

2 A “Every student and teacher” เป็นเอกพจน์ร่วม → ใช้ “is expected” ไม่ใช่ “are expected”.

3 A เมื่อใช้ “Neither… nor” กริยา concord กับตัวหลัง (his assistants) → “assistants know” ไม่ใช่ “knows”.

4 A “Data” เป็นคำนามพหูพจน์ → ต้องใช้ “indicate” ไม่ใช่ “indicates”.

5 D ไม่มีข้อผิดพลาด (“was interested in learning how to use…” ถูกต้อง).

6 B เงื่อนไขในอดีตสมมติแบบที่ 3 ใช้ “had arrived”.

7 B โครงสร้าง passive ของ “must + V” คือ “must be submitted”.

8 A “Unless” แปลว่า “ถ้าไม่” ใช้กับเงื่อนไขลบในอดีตสมมติ.

9 B “plan to do something” ใช้ “to establish”.

10 C หลังคำสั่งและคำขอ demand-type verbs ใช้ subjunctive “(that) she sign”.

11 A ข้อความให้ข้อมูลเพิ่มเติม → non‑defining clause ต้องใช้ “which” และมี comma.

12 B เหตุการณ์ก่อนอดีต → past perfect “had completed”.

13 C “delay something until …” ถูกต้อง.

14 B “Neither… nor” → กริยาตามประธานที่ใกล้ → “members are”.

15 D การใช้ “be to” แสดงคำสั่ง/ข้อบังคับอนาคต → “are to submit”.

นเทคนิคการทำข้อสอบ Listening ของ TOEFL ITP ให้สามารถจับใจความและคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ

1. ทำความเข้าใจโครงสร้างพาร์ท Listening

• Section A (Short Conversations): สนทนาสั้น ๆ ระหว่างคนสองคน แล้วตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นหลักหรือรายละเอียดรอง
  
  

• Section B (Passages): บทบรรยายสั้น ๆ ในสถานการณ์ต่าง ๆ (เช่น บรรยายวิชาการ) มี 3–4 นาทีต่อบท
  
  

• Section C (Long Conversations/ Lectures): บทสนทนาหรือบรรยายยาว 4–5 นาที พร้อมคำถามที่ลงลึกทั้ง main idea และ detail
  
  

2. เทคนิคก่อนเริ่มข้อสอบ

1. อ่านโจทย์คร่าว ๆ ก่อน
   
   

   • สแกนดูจำนวนคำถามแต่ละข้อ ช่วยเตรียมตัวทางจิตใจและเวลา
     
     

2. ทบทวนคำศัพท์ Academic ฟังบ่อย
   
   

   • เตรียมลิสต์คำศัพท์เกี่ยวกับการศึกษา วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ (200–300 คำ)
     
     

3. ฝึกจดโน้ตสั้น (shorthand notes)
   
   

   • ใช้สัญลักษณ์ย่อ เช่น “↑” “↓” “vs.” “∵” แทน because ช่วยจดได้เร็วขึ้น
     
     

3. เทคนิคระหว่างฟัง

1. จับใจความหลัก (main idea) ก่อนรายละเอียด
   
   

   • ฟังประโยคเปิด – ปิด – คำเชื่อม (however, therefore, but) เพื่อจับ flow ของบทพูด
     
     

2. มุ่งโฟกัสที่ keywords และตัวเลข
   
   

   • จับคีย์เวิร์ดสำคัญ เช่น สถานการณ์ เวลา สาเหตุ ผลลัพธ์
     
     

3. อย่าตกใจถ้าพลาดจังหวะ ย้ายไปที่จุดต่อไปทันที
   
   

   • หากไม่แน่ใจ อย่าเสียเวลาคิดนาน ให้ข้ามไปจดคำตอบจากบริบทถัดไป
     
     

4. ใช้ elimination method
   
   

   • ฟังแล้วตีกรอบคำตอบที่เป็นไปได้ เหลือ 2 ตัวเลือกจึงตัดสินใจ
     
     

4. เทคนิคการจดโน้ต (Note-taking)

• แบ่งหน้ากระดาษเป็น 2 คอลัมน์
  
  

  • Main Ideas (หัวข้อหลัก)
    
    

  • Details (ตัวเลข, ชื่อ, สาเหตุ-ผลลัพธ์)
    
    

• ใช้สัญลักษณ์และย่อคำ
  
  

  • Person → P, Problem → Prob, Solution → Sol
    
    

• จดแบบเป็น mind map ย่อภายในเสี้ยววินาที
  
  

  • วาดวงกลมหัวข้อหลัก แล้วลากเส้นเชื่อมจุดสำคัญ
    
    

5. เทคนิคหลังฟัง (Post‑listening)

1. อ่านคำถามก่อนลงมือเลือก
   
   

   • อ่านตัวเลือกทั้ง A–D ก่อน เพื่อรู้กรอบคำตอบ
     
     

2. จับคำชี้นำ (signal words)
   
   

   • เช่น “so”, “therefore”, “actually” ช่วยชี้ทิศทางตอบ
     
     

3. อย่าเปลี่ยนคำตอบถ้ายังไม่มั่นใจ
   
   

   • การเปลี่ยนมักทำให้ผิดมากขึ้น ถ้ามั่นใจข้อแรก ให้เลือกไว้
     
     

6. การฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ

• ทำ Listening practice tests จาก Cambridge ITP หรือ ETS อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชุด
  
  

• ฟัง Podcast หรือ TED Talks แล้วสรุปใจความ เช่น ฟัง 5 นาที สรุป 3 ประโยค
  
  

• ใช้แอป VOA Learning English หรือ BBC Learning English ฝึกจับสำเนียงหลากหลาย
  
  

• จัด study group ฟังพร้อมกัน แล้วลองตั้งคำถามให้กัน
  
  

สรุป

1. เตรียมตัวด้วยการอ่านโจทย์และทบทวนคำศัพท์ก่อนสอบ
   
   

2. จดโน้ตสั้น ใช้สัญลักษณ์ ช่วยจับ main idea และ detail
   
   

3. ฟังโฟกัส keywords และ signal words
   
   

4. ฝึก under timed conditions สม่ำเสมอ

เทคนิคการทำข้อสอบ Reading Comprehension ของ TOEFL ITP ให้ทำข้อสอบได้แม่นและไวขึ้นอย่างเป็นระบบ

1. ทำความเข้าใจโครงสร้างพาร์ท Reading

• ข้อสอบมี 3 บทความ (passages) แต่ละบทความยาวประมาณ 200–300 คำ
  
  

• แต่ละบทความมี 15–17 คำถาม แบ่งเป็น
  
  

  1. Main Idea – จับใจความหลักของทั้งย่อหน้า
     
     

  2. Detail – หาข้อมูลเฉพาะเจาะจงในบทความ
     
     

  3. Vocabulary in Context – ความหมายของคำในบทบริบท
     
     

  4. Inference – อนุมานข้อมูลจากสิ่งที่ไม่ได้เขียนไว้ตรงๆ
     
     

  5. Reference – ว่า “it/they/this” ในบทความอ้างถึงอะไร
     
     

2. เทคนิคก่อนเริ่มอ่าน

1. สแกนหัวข้อและตัวเลือก (Preview)
   
   

   • อ่านหัวเรื่องย่อๆ และคำถาม (ไม่ต้องลงดีเทล) เพื่อรู้กรอบใจความ
     
     

2. คาดเดาประเด็นหลัก (Predict)
   
   

   • ดูคำถามประเภท Main Idea ก่อน แล้วคาดเดาได้คร่าวๆ เดี๋ยวอ่านเจอบทความจะจับได้ไว
     
     

3. เทคนิคระหว่างอ่าน

1. Skimming (อ่านผ่าน)
   
   

   • อ่านต้นย่อหน้า (topic sentence) และปิดท้ายย่อหน้า (concluding sentence) เพื่อจับไอเดียหลัก
     
     

2. Scanning (หา detail)
   
   

   • เมื่อเจอคำถาม Detail ให้ไล่หา keywords ในบทความ เช่น ชื่อ, ปี, ตัวเลข
     
     

3. Mark-up เบาๆ
   
   

   • ขีดเส้นใต้ topic sentence, circling คำสําคัญ (names, dates, terms)
     
     

   • เขียนข้างๆ ย่อหน้าเป็น keywords สั้นๆ (“cause–effect”, “contrast”, “example”)
     
     

4. จับสัญญาณเชื่อมความ (Signal Words)
   
   

   • เช่น however, therefore, moreover, in contrast → ช่วยบอก flow ของเหตุผลและความสัมพันธ์
     
     

4. เทคนิคตอบคำถาม

1. Main Idea
   
   

   • อย่าเลือกตัวเลือกที่ลงลึกเกินไป จับประเด็นรวมของทั้งบทความ
     
     

2. Detail
   
   

   • ใช้ scanning หา keyword ในบทความก่อน แล้วอ่านประโยคแถวนั้นให้เข้าใจ
     
     

3. Vocabulary in Context
   
   

   • อ่านประโยคนั้นทั้งประโยค ยึดบริบทรอบข้าง (ดู collocation, tone)
     
     

4. Inference
   
   

   • มองน้ำหนักความเห็นของผู้เขียน และสอดคล้องกับหลักตรรกะ อย่าเลือกที่เกินเลยหลักบทความ
     
     

5. Reference
   
   

   • ตาม “it/this/they” กลับไปดู noun ที่อยู่ก่อนหน้า (antecedent)
     
     

5. การบริหารเวลา

• ไม่เกิน 20 นาทีต่อบทความ
  
  

• แบ่งเวลา:
  - Skimming + note-taking คร่าวๆ 3–4 นาที
  
  

  • ตอบ Main Idea & Inference 5–6 นาที
    
    

  • ตอบ Detail & Vocabulary 8–10 นาที
    
    

  • ทบทวนข้อสุดท้าย 1–2 นาที
    
    

6. การฝึกฝนสม่ำเสมอ

• ทำ reading drills:
  - ฝึก skimming passage 200 คำ ใน 1 นาที
  
  

  • ฝึก scanning หา detail ใน 30 วินาที
    
    

• รวบรวม Academic vocabulary 300–400 คำแล้วทบทวนเป็นกลุ่มหัวข้อ
  
  

• อ่านบทความวิชาการสั้น ๆ (ข่าววิทยาศาสตร์, บล็อกเชิงวิชาการ) แล้วสรุปใจความ
  
  

• ฝึกทำ full‑length ITP reading tests อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชุด