4 กรกฎาคม 2568
ปรมัตถธรรม 4 หมายถึง สภาพธรรมที่มีอยู่จริงโดยสภาวะของมันเอง มิได้ขึ้นกับการสมมุติของบุคคล เป็นหลักธรรมขั้นสูงที่สำคัญในพระอภิธรรมปิฎก เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของสรรพสิ่ง และนำไปสู่การปล่อยวางจากการยึดมั่นในตัวตน
ปรมัตถธรรม 4 ได้แก่:
จิต (สภาพที่รู้อารมณ์)
เจตสิก (สภาพธรรมที่ประกอบจิต)
รูป (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์ แต่ถูกกระทบได้)
นิพพาน (สภาพที่ปราศจากทุกข์และกิเลส)
ความหมาย:
จิต คือ ธรรมชาติที่มีหน้าที่รู้อารมณ์ โดยสภาวะของจิตนั้นเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ปรากฏชัดจากการรับรู้ทางใจ
ลักษณะสำคัญของจิต:
มีหน้าที่: รับรู้อารมณ์
มีลักษณะเป็นนามธรรม: ไม่มีรูป ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
เกิดและดับรวดเร็วมาก: เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็วในแต่ละขณะจิต
การแบ่งประเภทของจิต (ตามอภิธรรมปิฎก):
จิตมีทั้งหมด 89 หรือ 121 ดวง ตามลักษณะของการจำแนก
การจำแนก จิต 89 ดวง ตามพระอภิธรรมปิฎก เป็นการจำแนกขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เข้าใจสภาวะของจิตตามภูมิที่จิตเกิดขึ้น รวมทั้งคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะของจิตแต่ละดวง
จิต 89 ดวง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้:
หมายถึง จิตที่เกิดขึ้นในภูมิกาม (ภูมิที่มีความเกี่ยวข้องกับกามคุณทั้ง 5 เช่น มนุษย์ เทวดา สัตว์โลก อบายภูมิ เป็นต้น)
จิตกลุ่มนี้แบ่งย่อยเป็น 3 ประเภท คือ
1.1 อกุศลจิต (12 ดวง)
จิตที่ไม่ดี มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหตุให้เกิดขึ้น
โลภมูลจิต 8 ดวง (เกิดจากความโลภ)
โทสมูลจิต 2 ดวง (เกิดจากความโกรธ)
โมหมูลจิต 2 ดวง (เกิดจากความหลง)
1.2 อเหตุกจิต (18 ดวง)
จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว
อเหตุกกุศลวิบากจิต 8 ดวง (จิตที่เป็นผลจากกรรมดีที่ไม่มีเหตุ)
อเหตุกอกุศลวิบากจิต 7 ดวง (จิตที่เป็นผลจากกรรมชั่วที่ไม่มีเหตุ)
อเหตุกกิริยาจิต 3 ดวง (จิตที่ไม่มีผลกรรม เป็นกิริยาธรรมดา เช่น วิจิกิจฉา เป็นต้น)
1.3 โสภณจิต (จิตฝ่ายดีงาม 24 ดวง)
เป็นจิตที่ดีงามประกอบด้วยเหตุฝ่ายดี (อโลภะ อโทสะ อโมหะ)
กามาวจรกุศลจิต 8 ดวง (จิตฝ่ายดีที่เป็นเหตุให้เกิดกรรมดี)
กามาวจรวิบากจิต 8 ดวง (จิตฝ่ายดีที่เป็นผลของกรรมดี)
กามาวจรกิริยาจิต 8 ดวง (จิตฝ่ายดีที่ไม่มีผลกรรม เช่น จิตของพระอรหันต์)
รวมกามาวจรจิต = 54 ดวง
เป็นจิตที่เกิดจากการเข้าฌานสมาบัติขั้นรูปฌาน ซึ่งมีทั้งหมด 5 ระดับ (ปฐมฌาน-ปัญจมฌาน)
แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
รูปาวจรกุศลจิต 5 ดวง (จิตที่เข้าสู่ฌานที่เป็นเหตุฝ่ายดี)
รูปาวจรวิบากจิต 5 ดวง (จิตที่เป็นผลจากฌานนั้น)
รูปาวจรกิริยาจิต 5 ดวง (จิตที่เข้าสู่ฌานของพระอรหันต์)
รวมรูปาวจรจิต = 15 ดวง
เป็นจิตที่เกิดจากสมาธิขั้นอรูปฌาน มี 4 ขั้นละเอียด คือ อากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ
แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
อรูปาวจรกุศลจิต 4 ดวง (จิตฝ่ายดีเข้าสู่อรูปฌาน)
อรูปาวจรวิบากจิต 4 ดวง (จิตฝ่ายผลที่เกิดจากอรูปฌานนั้น)
อรูปาวจรกิริยาจิต 4 ดวง (จิตฝ่ายดีไม่มีผลกรรมของพระอรหันต์)
รวมอรูปาวจรจิต = 12 ดวง
จิตของผู้บรรลุมรรคผลอันเป็นโลกุตตรธรรม ได้แก่ ผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ
แบ่งเป็น
มรรคจิต 4 ดวง
โสดาปัตติมรรค (บรรลุโสดาบัน)
สกทาคามิมรรค (บรรลุสกทาคามี)
อนาคามิมรรค (บรรลุอนาคามี)
อรหัตตมรรค (บรรลุพระอรหันต์)
ผลจิต 4 ดวง
โสดาปัตติผล
สกทาคามิผล
อนาคามิผล
อรหัตตผล
รวมโลกุตตรจิต = 8 ดวง
ความหมาย:
เจตสิก คือ สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิตและประกอบจิตให้มีลักษณะต่างๆ เจตสิกจึงไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ต้องอาศัยจิตในการเกิดเสมอ
ลักษณะสำคัญของเจตสิก:
เกิดร่วมกับจิตเสมอ: ไม่สามารถมีอยู่ได้โดยปราศจากจิต
ประกอบจิตให้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน: เช่น โมหะ (ความหลง), โลภะ (ความอยาก), โทสะ (ความโกรธ), ปัญญา (ความรู้แจ้ง), สติ (ความระลึกได้)
มีการเกิดดับที่รวดเร็ว: เกิดดับพร้อมกับจิตในทุกๆ ขณะจิต
เจตสิก 52 ดวง คือสภาวธรรมที่เกิดร่วมกับจิต มีหน้าที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดคุณลักษณะต่าง ๆ ตามแต่ชนิดของเจตสิกนั้น ๆ
เจตสิกทั้ง 52 ดวง แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
ผัสสะ (การกระทบอารมณ์)
เวทนา (ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ)
สัญญา (ความจำได้หมายรู้)
เจตนา (ความจงใจ)
เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวหรือสมาธิ)
ชีวิตินทรีย์ (การค้ำจุนจิตให้ดำรงอยู่)
มนสิการ (การใส่ใจอารมณ์)
วิตักกะ (การตรึก)
วิจาระ (การตรอง)
อธิโมกขะ (ความปักใจ เชื่อมั่น)
วิริยะ (ความเพียร)
ปีติ (ความอิ่มใจ ปลื้มใจ)
ฉันทะ (ความพอใจในกิจที่จะทำ)
โมหะ (ความหลง ความไม่รู้)
อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป)
อโนตตัปปะ (ความไม่กลัวบาป)
อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
โลภะ (ความอยากได้, ความโลภ)
ทิฏฐิ (ความเห็นผิด)
มานะ (ความถือตัว อวดตัว)
โทสะ (ความโกรธ ไม่พอใจ)
อิสสา (ความริษยา)
มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
กุกกุจจะ (ความรำคาญใจ ฟุ้งซ่านใจ)
ถีนะ (ความหดหู่ เฉื่อยชาแห่งจิต)
มิทธะ (ความเซื่องซึม ง่วงเหงาแห่งเจตสิก)
วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
สัทธา (ความเชื่อศรัทธา)
สติ (ความระลึกได้)
หิริ (ความละอายต่อบาป)
โอตตัปปะ (ความกลัวบาป)
อโลภะ (ความไม่โลภ)
อโทสะ (ความไม่โกรธ เมตตา)
ตัตตรมัชฌัตตตา (ความวางใจเป็นกลาง)
กายปัสสัทธิ (ความสงบแห่งเจตสิก)
จิตตปัสสัทธิ (ความสงบแห่งจิต)
กายลหุตา (ความเบากายของเจตสิก)
จิตตลหุตา (ความเบาแห่งจิต)
กายมุทุตา (ความอ่อนโยนแห่งเจตสิก)
จิตตมุทุตา (ความอ่อนโยนแห่งจิต)
กายกัมมัญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งเจตสิก)
จิตตกัมมัญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งจิต)
กายปาคุญญตา (ความชำนาญแห่งเจตสิก)
จิตตปาคุญญตา (ความชำนาญแห่งจิต)
กายุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งเจตสิก)
จิตตุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งจิต)
สัมมาวาจา (การงดเว้นจากวจีทุจริต)
สัมมากัมมันตะ (การงดเว้นจากกายทุจริต)
สัมมาอาชีวะ (การงดเว้นจากมิจฉาอาชีวะ)
กรุณา (ความสงสาร, ปรารถนาให้พ้นทุกข์)
มุทิตา (ความพลอยยินดี, ปรารถนาให้ได้สุข)
ปัญญา (ความรู้ชัดแจ้ง)
เจตสิกทั้ง 52 ดวงนี้เป็นองค์ธรรมสำคัญที่มีบทบาทในการปรุงแต่งลักษณะของจิตให้มีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามแต่ละประเภทของจิต เป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาอภิธรรมในพระพุทธศาสนา
ความหมาย:
รูป คือ สภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้อารมณ์ แต่สามารถถูกกระทบสัมผัสได้ เป็นสภาวะทางวัตถุ (รูปธรรม) ที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลง แตกดับตลอดเวลา
ลักษณะสำคัญของรูป:
ไม่รู้อารมณ์: รูปไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ แต่สามารถถูกกระทบได้ด้วยจิตหรือเจตสิก
มีคุณสมบัติทางกายภาพ: มีสี มีกลิ่น มีรส เป็นต้น
เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แตกดับได้: มีสภาวะไม่คงที่ตลอดเวลา
การแบ่งประเภทของรูป:
รูปแบ่งออกเป็น 28 ชนิดในพระอภิธรรม ได้แก่:
มหาภูตรูป 4 (รูปหลัก) ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป 24 (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) เช่น สี กลิ่น รส โอชะ เป็นต้น
ในคัมภีร์พระอภิธรรม (Abhidhamma) “รูป” (rūpa) เป็นหนึ่งในสามประเภทของปรมัตถธรรม (ultimate realities) คือ จิต (citta) เจตสิก (cetasika) และรูป (rūpa) โดยรูปหมายถึง ธรรมชาติทางกายภาพหรือสสารในรูปของคุณลักษณะต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต ความเข้าใจรูปในอภิธรรมประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:
นิยามและลักษณะของรูป
– รูปเป็นปรมัตถธรรมจำพวกมีเงื่อนไข (saṅkhata dhamma) เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่คงที่
– รูปมีลักษณะเฉพาะคือ “ขันธา” (คือ รวบรวมเป็นก้อนเดียว ไม่แยกส่วน) และ “อุณมณ์” (คือ รองรับความร้อน-เย็น) ซึ่งแตกต่างจากนามธรรม (จิต–เจตสิก) en.wikipedia.org
องค์ประกอบพื้นฐาน (Mahābhūta – สี่รูปใหญ่)
รูปทั้งหมดอาศัยสี่รูปใหญ่เป็นฐาน คือ wisdomlib.orgen.wikipedia.org
ปรมัตถรูป (Pāli) คำอธิบายสั้น (คุณสมบัติ)
Pathavī-dhātu (ดิน) ความแข็ง–แข็งตัว–ทึบ
Āpo-dhātu (น้ำ) ความเหลว–ยืดหยุ่น–ประสานกัน
Tejo-dhātu (ไฟ) ความร้อน–อุณหภูมิ
Vāyo-dhātu (ลม) การเคลื่อนไหว–แรงดัน–การขยายตัว
การจำแนกรูปทั้ง 28 ประเภท (Paramattha rūpa 28)
นอกจากสี่รูปใหญ่แล้ว อภิธรรมแบ่งรูปออกเป็นอีก 24 ประเภท โดยจัดเป็น สิบเอ็ดหมวด (classes) รวมเป็น 28 ปรมัตถรูป ดังนี้ wisdomlib.org
หมวด (Class) จำนวน (Count) ตัวอย่างปปรมัตถรูป (Pāli) หมายเหตุ
1. รูปใหญ่ (Mahābhūta rūpa) 4 Pathavī, Āpo, Tejo, Vāyo ฐานของรูปทั้งหมด
2. รูปอวิณณภาค (Avinibbhoga rūpa) 4 Vaṇṇa (สี), Gandha (กลิ่น), Rasa (รส), Oja (อาหารณ์) ผูกกับรูปใหญ่ ไม่แยกจากกัน
3. รูปตา–หู–จมูก–ลิ้น–กาย (Pasāda rūpa) 5 Cakkhu-, Sota-, Ghānā-, Jivhā-, Kāya-pasāda ความรู้สึกทางอินทรีย์ (อายตนะภายนอก)
4. รูปอารมณ์ (Ārammaṇa rūpa) 4 Rūpa-ārammaṇa (รูป), Sadda (เสียง), Gandha-ārammaṇa, Rasa-ārammaṇa วัตถุแห่งอินทรีย์ (อารมณ์–อารมณ์ภายนอก)
5. ชีวกาลรูป (Jīvitindriya rūpa) 1 Jīvitindriya ระยะเวลาแห่งชีวิตของรูป dhamma
6. อากาศธาตุ (Ākāsa-dhātu) 1 Ākāsa-dhātu ช่องว่างระหว่างสสาร
7. รูปปริเฉท (Pariccheda rūpa) 1 Pariccheda (การแบ่งแยก–สั่นสะเทือน) รูปเปลี่ยนรูปมา–ไป
8. รูปวิบัติ (Vikāra rūpa) 5 2 Viññatti-rūpa, 3 Lahutādi-rūpa รูปดัดแปลง เช่น การแบ่ง, การผัน, ความเบา
9. รูปลักษณะ (Lakkhaṇa rūpa) 4 Jarā (เสื่อม), Aniccatā (อนิจจัง), Asaññata (อนัณฺณตา), etc. รูปลักษณะ เช่น การเกิด–ดับ–ไม่เที่ยงฯ
รวมทั้งหมด 4+4+5+4+1+1+1+5+4 = 28 ปรมัตถรูป
รายละเอียดแต่ละหมวดจะอธิบายถึงบทบาทและเงื่อนไขการเกิด–ดับของสสารในระดับจุลภาค
สรุปประเด็นสำคัญ
รูป (rūpa) เป็นธรรมชาติทางกายภาพ เกิดดับในทุกขณะ ไม่เที่ยง และอาศัยกันและกัน
รูปทั้งหมดอาศัย “สี่รูปใหญ่” (ดิน–น้ำ–ไฟ–ลม) เป็นฐาน en.wikipedia.org
อภิธรรมจำแนกรูปออกเป็น 28 ประเภท จัดใน 11 หมวด เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติและการเกิดดับของสสารอย่างละเอียดลออ
โดยภาพรวม การศึกษา “รูป” ในอภิธรรมจะช่วยให้เห็นว่าทุกสรรพสิ่งในโลกกายภาพเป็นเพียงคุณลักษณะปรากฏ–ดับไป ไม่ใช่ตัวตนถาวรใดๆ ทั้งสิ้น
การจำแนกรูป (rūpa) ตามคัมภีร์อภิธรรมเป็น 10 หมวด รวมทั้งหมด 28 ประเภท พร้อมชื่อบาลีและคำอธิบายสั้นๆ:
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
1 Pathavī-dhātu ธาตุดิน (ความแข็ง ความเป็นรูป)
2 Āpo-dhātu ธาตุน้ำ (ความจับตัว ผสานกัน)
3 Tejo-dhātu ธาตุไฟ (ความร้อน ความแผดเผา)
4 Vāyo-dhātu ธาตุลม (การเคลื่อนไหว แรงกด)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
5 Cakkhu-vatthu ฐานตา (อาศัยให้เกิดการเห็น)
6 Sota-vatthu ฐานหู (อาศัยให้เกิดการได้ยิน)
7 Ghāna-vatthu ฐานจมูก (อาศัยให้เกิดการดม)
8 Jivhā-vatthu ฐานลิ้น (อาศัยให้เกิดการลิ้มรส)
9 Kāya-vatthu ฐานกาย (อาศัยให้เกิดการสัมผัส)
10 Mano-vatthu ฐานใจ (อาศัยให้เกิดการคิดนึกสติปัญญา)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
11 Itthibhāva-rūpa รูปหญิง (คุณสมบัติความเป็นหญิง)
12 Purisabhāva-rūpa รูปชาย (คุณสมบัติความเป็นชาย)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
13 Jīvita-rūpa รูปชีวิต (พลังชีพค้ำจุนสภาพร่าง)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
14 Āhāra-rūpa รูปอาหาร (ธาตุอาหาร สารอาหารบำรุง)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
15 Pariccheda-rūpa รูปแบ่งกั้น (อากาศธาตุ–ช่องว่าง)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
16 Kāya-viññatti-rūpa รูปกายวิญญัติ (สัญญาณบ่งชี้ทางกาย)
17 Vacī-viññatti-rūpa รูปวาจาวิญญัติ (สัญญาณบ่งชี้ทางวาจา)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
18 Lahutā-rūpa รูปลหุตา (ความเบาเบากระฉับกระเฉง)
19 Mudutā-rūpa รูปมะดูตา (ความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น)
20 Kammaññatā-rūpa รูปกัมมันณตา (ความคล่องตัว คุมสภาพ)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
21 Upacaya-rūpa รูปอุปาทะ (ลักษณะการกำเนิด – เกิดขึ้น)
22 Santati-rūpa รูปสันตติ (ลักษณะการดำรงอยู่ต่อเนื่อง)
23 Jarāta-rūpa รูปจำรา-ตะ (ลักษณะเสื่อมสภาพ – ร่วงโรย)
24 Aniccata-rūpa รูปอนิจจตา (ลักษณะดับสูญ – เปลี่ยนสภาพไป)
ลำดับ ชื่อบาลี ความหมาย
25 Rūpa-gocara-rūpa รูปโกจร (อารมณ์ขันต์ทางตา – รูปปรากฏ)
26 Sadda-gocara-rūpa รูปเสียง (อารมณ์ขันต์ทางหู – เสียงปรากฏ)
27 Gandha-gocara-rūpa รูปกลิ่น (อารมณ์ขันต์ทางจมูก – กลิ่นปรากฏ)
28 Rasa-gocara-rūpa รูปรส (อารมณ์ขันต์ทางลิ้น – รสปรากฏ)
อธิบายโดยสังเขป:
– ทั้ง 28 ประเภทนี้รวมกันเป็น “รูป” ในระดับอภิธรรม ซึ่งเป็นสภาพทางวัตถุที่ไม่มีจิต แต่เกิดร่วมกับจิตเสมอ (sahajāta)
– แต่ละหมวดมีบทบาทในการทำงานแตกต่างกัน ตั้งแต่ธาตุแรกเริ่ม (mahābhūta) ไปจนถึงคุณสมบัติทางกายและกายสัมพันธ์ต่างๆ
– การรู้จักและพิจารณารูปทั้ง 28 ช่วยในการเจริญวิปัสสนา เพื่อเห็นความไม่เที่ยง ทุกข์ และอนัตตาในทุกปรากฏการณ์
ความหมาย:
นิพพาน คือ สภาวะธรรมที่ดับสนิทจากกิเลสทั้งปวง เป็นสภาวะที่ปราศจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือการเกิดดับอีกต่อไป
ลักษณะสำคัญของนิพพาน:
ไม่เกิดไม่ดับ: เป็นสภาวะนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่เป็นทั้งจิต เจตสิก หรือรูป: เป็นสภาวะเฉพาะที่เหนือจากสภาพธรรมอื่น
เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา: การเข้าถึงนิพพานหมายถึงการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด)
การแบ่งลักษณะของนิพพาน:
สอุปาทิเสสนิพพาน: นิพพานที่ยังมีชีวิตอยู่ (เช่น พระอรหันต์ขณะยังทรงชีวิต)
อนุปาทิเสสนิพพาน: นิพพานที่ดับขันธ์สมบูรณ์แล้ว (เช่น พระอรหันต์หลังดับขันธ์)
ปรมัตถธรรม 4 ถือเป็นหลักธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดในพุทธปรัชญา ช่วยให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิต และเป็นแนวทางให้ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน การเข้าใจปรมัตถธรรม 4 จึงถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาอภิธรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องจนถึงการบรรลุนิพพานได้ในที่สุด