18 กันยายน 2568
การวิเคราะห์สถาบันทางการเมือง ประกอบด้วย 5 แนวทางหลัก ได้แก่ สถาบันนิยมแนวเหตุผลวิเคราะห์ (Rational Choice Institutionalism), สถาบันนิยมแนวประวัติศาสตร์ (Historical Institutionalism), สถาบันนิยมแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Institutionalism), สถาบันนิยมแนวเครือข่าย (Network Institutionalism) และสถาบันนิยมดั้งเดิม (Old Institutionalisms)
บทนี้เขียนโดย Kenneth A. Shepsle และนำเสนอแนวทางที่มองว่าสถาบันทางการเมืองเป็นผลผลิตของการกระทำของผู้เล่นทางการเมืองที่มีเหตุผลและมุ่งหวังประโยชน์สูงสุด (Optimizing political actors) แนวทางนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยมีการตีความสถาบันใน 2 รูปแบบหลัก:
สถาบันในฐานะข้อจำกัดจากภายนอก (Exogenous Constraints): มองว่าสถาบันคือ "กฎของเกม" (rules of the game) ที่กำหนดขึ้นเพื่อวางกรอบปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ สถาบันเปรียบเสมือนบทที่กำหนดว่าใครคือผู้เล่น, มีทางเลือกเชิงพฤติกรรมอะไรบ้าง, ลำดับการเลือกเป็นอย่างไร, และมีข้อมูลอะไรในการตัดสินใจ
สถาบันในฐานะดุลยภาพที่เกิดขึ้นภายใน (Endogenous Equilibrium): มองว่ากฎของเกมไม่ได้ถูกกำหนดจากภายนอก แต่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เล่นเอง สถาบันคือ "วิถีแห่งดุลยภาพในการทำสิ่งต่างๆ" ที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยอมรับและปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ยังแบ่งสถาบันออกเป็น 2 ประเภท:
สถาบันที่มีโครงสร้าง (Structured Institutions): คือสถาบันที่คงทนถาวรและมีรูปแบบชัดเจน เช่น รัฐสภา, ศาล, พรรคการเมือง การวิเคราะห์สถาบันประเภทนี้ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของแนวทางนี้
สถาบันที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Institutions): คือสถาบันที่ไม่มีรูปแบบเป็นทางการ แต่เป็นที่รับรู้กันในเชิงปฏิบัติ เช่น บรรทัดฐาน (Norms), การประสานงาน, และการกระทำร่วมกัน (Collective action)
บทนี้เขียนโดย Elizabeth Sanders และมีข้อสมมติฐานหลักว่าการศึกษาปฏิสัมพันธ์ทางการเมืองของมนุษย์จะให้ความกระจ่างมากขึ้นหากพิจารณาจาก 2 ปัจจัยคือ (ก) ศึกษาภายใต้บริบทของโครงสร้างกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง และ (ข) ศึกษาตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้นจริง แทนที่จะดูแค่ภาพนิ่ง ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง
การพึ่งพิงเส้นทาง (Path Dependence): เป็นแนวคิดหลักที่ว่าการพัฒนาสถาบันเมื่อเวลาผ่านไปจะถูกกำหนดโดยเส้นทางที่ถูกเลือกไว้ในอดีต เมื่อเกิดวิกฤตหรือเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่วิธีการใหม่ๆ วิธีการนั้นจะถูกยึดถือและพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในอนาคตเป็นไปได้ยาก
ความแตกต่างจากแนวเหตุผลวิเคราะห์ (RC): HI ให้ความสนใจกับการสร้าง, การดำรงอยู่ และการปรับตัวของสถาบันในระยะยาว ขณะที่ RC สนใจ "เกม" การแสวงหาผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลในระยะสั้น HI ยังให้ความสำคัญกับ "ความคิด" (Ideas) และ "เป้าหมาย" ที่อาจมีมิติเพื่อสาธารณะ ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ส่วนตน
ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลง (Agents of Change): HI ให้ความสำคัญกับคำถามที่ว่า "ใครคือผู้ออกแบบ" โดยแบ่งผู้กระทำการออกเป็น 3 กลุ่ม:
จากบนลงล่าง (Top-Down): ชนชั้นนำ เช่น ประธานาธิบดี, ผู้พิพากษา, ข้าราชการระดับสูง เป็นผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสถาบัน
จากล่างขึ้นบน (Bottom-Up): ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและกลุ่มต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์และความคับข้องใจ เป็นผู้ริเริ่มการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงสถาบัน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐและสังคม (State-Society Interaction): แนวทางที่วิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำการทั้งในภาครัฐและในสังคม
บทนี้เขียนโดย Colin Hay และเป็นแนวทางที่ใหม่ที่สุดในบรรดาสถาบันนิยม เกิดขึ้นจากการพยายามทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสถาบันที่ซับซ้อนภายใต้สภาวะไร้ดุลยภาพ ซึ่งแนวทางอื่นโดยเฉพาะ HI ยังมีข้อจำกัดในการอธิบาย
การให้ความสำคัญกับความคิด (Turn to Ideas): จุดเด่นของแนวทางนี้คือการเน้นย้ำบทบาทของ "ความคิด" ผลประโยชน์ (Interests) ไม่ได้ถูกกำหนดจากปัจจัยทางวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่เป็น "การสร้างทางสังคม" (social constructions) ที่ถูกทำให้ "สามารถนำไปปฏิบัติได้" (actionable) ผ่านความคิด
วิกฤตและการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Crises and Paradigm Shifts): CI วิเคราะห์ว่าช่วงเวลาวิกฤตคือช่วงที่ผลประโยชน์ของผู้คนไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันทางความคิด ความคิดใหม่ๆ ที่สามารถอธิบายวิกฤตและเสนอทางออกได้จะเข้ามาแทนที่ "กระบวนทัศน์ทางนโยบาย" (policy paradigm) เดิม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถาบันครั้งสำคัญ
บทนี้เขียนโดย Christopher Ansell และมองว่าเครือข่ายเป็นสถาบันอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งแสดงถึงรูปแบบปฏิสัมพันธ์ที่มั่นคงและเกิดซ้ำๆ ระหว่างบุคคลหรือองค์กร
หลักการพื้นฐาน:
มุมมองเชิงสัมพันธ์ (Relational Perspective): ใช้ความสัมพันธ์เป็นหน่วยพื้นฐานในการอธิบาย ไม่ใช่คุณลักษณะของปัจเจกบุคคล
ความซับซ้อน (Complexity): ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและองค์กรมีความซับซ้อน, ทับซ้อน และเชื่อมโยงกัน
ทรัพยากรและข้อจำกัด: เครือข่ายเป็นทั้งทรัพยากร (ช่องทางเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือ) และข้อจำกัด (โครงสร้างที่จำกัดการกระทำ)
ลักษณะของเครือข่าย: เครือข่ายแตกต่างจากลำดับชั้น (hierarchy) ตรงที่เป็นความสัมพันธ์แบบ "หลายต่อหลายคน" (many-to-many) ในขณะที่ลำดับชั้นเป็นแบบ "หลายต่อหนึ่ง" (many-to-one)
การประยุกต์ใช้: แนวทางนี้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในการศึกษา:
เครือข่ายนโยบาย (Policy Networks): เช่น "เครือข่ายประเด็น" (issue networks) และ "ชุมชนนโยบาย" (policy communities)
องค์กร (Organizations): มององค์กรเครือข่ายเป็นรูปแบบที่อยู่ระหว่างตลาดและลำดับชั้น
ตลาด (Markets): ศึกษาการฝังตัวทางสังคม (social embeddedness) ของธุรกรรมทางเศรษฐกิจ
การระดมพลทางการเมือง (Political Mobilization): วิเคราะห์บทบาทของเครือข่ายสังคมในการขับเคลื่อนขบวนการทางสังคม
บทนี้เขียนโดย R. A. W. Rhodes เพื่อโต้แย้งแนวคิดที่ว่า "สถาบันนิยมใหม่" เข้ามาแทนที่ "สถาบันนิยมดั้งเดิม" อย่างสมบูรณ์ ผู้เขียนชี้ว่าแนวทางการศึกษาแบบดั้งเดิมยังคงมีอยู่และมีความสำคัญ โดยเฉพาะการวิเคราะห์เชิงกฎหมาย-สถาบัน (formal-legal analysis) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่โดดเด่นของรัฐศาสตร์
ผู้เขียนได้จำแนกแนวทางการศึกษาแบบดั้งเดิมออกเป็น 4 สายธาร:
ประจักษ์นิยมแนวนวยุค (Modernist-Empiricist): เป็นที่อยู่ของ "สถาบันนิยมใหม่" ทั้งหลาย ซึ่งมองสถาบันเป็นวัตถุที่สามารถเปรียบเทียบ วัดผล และจัดประเภทได้
กฎหมาย-สถาบัน (Formal-Legal): เป็นการศึกษา "กฎหมายมหาชนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของรัฐอย่างเป็นทางการ" แนวทางนี้มีลักษณะเปรียบเทียบ, อิงประวัติศาสตร์ และใช้เหตุผลแบบอุปนัย (inductive)
จิตนิยม (Idealist): มองว่าสถาบันทางการเมืองดำรงอยู่ได้ผ่านความคิดและธรรมเนียมปฏิบัติ สถาบันคือการแสดงออกซึ่งความคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการเมือง
สังคมนิยม (Socialist): ครอบคลุมถึงทฤษฎีรัฐแบบมาร์กซิสต์ (เช่น การวิเคราะห์ของ Jessop) , หลังมาร์กซิสต์ (การรื้อสร้างสถาบันในฐานะวาทกรรม) และแนวคิดแบบเฟเบียน (Fabian) ที่เน้นการปฏิรูปสังคมและรัฐประศาสนศาสตร์
อ้างอิง :
Binder, S. A., Rhodes, R. A. W., & Rockman, B. A. (Eds.). (2006). The Oxford Handbook of Political Institutions: Chapter II. Oxford University Press.