5 มกราคม 2568
5 มกราคม 2568
ชุมชนกุฎีจีน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 250 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ถือเป็นหนึ่งในชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยมีชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส จีน และมุสลิม อาศัยอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน
ชื่อ "กุฎีจีน" มาจากการที่ในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์และชุมชนชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสถาปนากรุงธนบุรี ชาวโปรตุเกสกลุ่มนี้ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานบริเวณปากคลองบางหลวง และได้สร้างโบสถ์คาทอลิกขึ้น ซึ่งต่อมาคือ "โบสถ์ซางตาครู้ส" (Santa Cruz Church) โบสถ์แห่งนี้มีหอระฆังสูงโดดเด่น และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชุมชน
คำว่า "กุฎี" ในภาษาไทยหมายถึงกุฏิหรือที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ แต่ในที่นี้หมายถึงอาคารทางศาสนา ส่วนคำว่า "จีน" อาจมาจากชาวจีนที่อาศัยอยู่ในชุมชนนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อ "กุฎีจีน"
สมัยอยุธยา
โปรตุเกสเป็นชาติยุโรปชาติแรกที่เข้ามาค้าขายในสยามตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2054 - 2072)
ชาวโปรตุเกสได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาและตั้งชุมชนขึ้น
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง (พ.ศ. 2310) ชาวโปรตุเกสบางส่วนอพยพมายังกรุงธนบุรี
สมัยธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชทานที่ดินให้ชาวโปรตุเกสตั้งถิ่นฐานในฝั่งธนบุรี
สร้างโบสถ์ซางตาครู้สขึ้นในปี พ.ศ. 2313
สมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 ทรงมีนโยบายรักษาความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ชุมชนโปรตุเกสที่กุฎีจีนยังคงอยู่และเติบโต
โบสถ์ซางตาครู้สได้รับการบูรณะหลายครั้งและยังคงเป็นศูนย์กลางของชุมชน
ชุมชนกุฎีจีนเป็นตัวอย่างของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยมีคนจากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน ได้แก่
โปรตุเกส
มีโบสถ์ซางตาครู้สเป็นศูนย์กลางของชาวคาทอลิก
อาหารโปรตุเกส เช่น ขนมฝรั่งกุฎีจีน (Khanom Farang Kudi Chin) เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดจากโปรตุเกส
จีน
มีวัดประจำชุมชน เช่น วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธเชื้อสายจีน
การฉลองเทศกาลสำคัญ เช่น ตรุษจีน และสารทจีน
มุสลิม
มีมัสยิดบางหลวง (กุฎีขาว) ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา
ชุมชนมุสลิมมีบทบาทในเรื่องการค้าและอาหาร เช่น โรตี มะตะบะ
โบสถ์ซางตาครู้ส – โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 250 ปี
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร – วัดสำคัญที่มีพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต)
มัสยิดบางหลวง – มัสยิดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมไทยผสมเปอร์เซีย
ศาลเจ้าเกียวอันกง – ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน – พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติของชุมชน
ซอยกุฎีจีน – ถนนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและขนมฝรั่งกุฎีจีน
ปัจจุบันชุมชนกุฎีจีนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมสถาปัตยกรรมโบราณ ชิมขนมฝรั่งกุฎีจีน และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชุมชนผ่านพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน
รัฐบาลและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันในการอนุรักษ์ชุมชนกุฎีจีน โดยมีการจัดเทศกาลและกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น เทศกาลคริสต์มาสที่โบสถ์ซางตาครู้ส และเทศกาลตรุษจีนที่วัดกัลยาณมิตร
ชุมชนกุฎีจีนเป็นหนึ่งในชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา การอยู่ร่วมกันของชาวโปรตุเกส จีน และมุสลิม ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม อาหาร และวิถีชีวิต
หากคุณสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ชุมชนกุฎีจีน เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด
ชุมชนกุฎีจีนเป็นตัวอย่างของความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์ โดยมี 3 ศาสนา และ 4 ความเชื่อ ที่อยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของผู้คนในพื้นที่แห่งนี้
ศาสนาพุทธ (เถรวาท - มหานิกายและจีนนิกาย)
วัดสำคัญ: วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวไทยและชาวจีนที่นับถือพุทธศาสนา
มีพระพุทธไตรรัตนนายก หรือ "หลวงพ่อโต" พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวไทยและจีน
วัดนี้ยังเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวพุทธ
ศาสนาคริสต์ (นิกายโรมันคาทอลิก)
ศูนย์กลาง: โบสถ์ซางตาครู้ส
เป็นศาสนสถานของชาวโปรตุเกสที่อพยพมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
มีการประกอบพิธีมิสซาเป็นประจำ และมีการเฉลิมฉลองวันสำคัญของชาวคริสต์ เช่น คริสต์มาสและอีสเตอร์
โบสถ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกเข้ากับสังคมไทย
ศาสนาอิสลาม
ศูนย์กลาง: มัสยิดบางหลวง (กุฎีขาว)
เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นโดยชุมชนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียและมลายู ตั้งแต่สมัยอยุธยา
มีการประกอบศาสนกิจทุกวัน และชุมชนมุสลิมมีบทบาทในด้านการค้าและการทำอาหารฮาลาล
ความเชื่อทางศาสนาพุทธ
นอกจากการนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ยังมีพิธีกรรมที่ผสมผสานความเชื่อแบบจีน เช่น พิธีไหว้เจ้า ไหว้เทพเจ้า และไหว้บรรพบุรุษ
การไหว้พระและทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา
มีความเชื่อในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น การบูชา "หลวงพ่อโต" ที่วัดกัลยาณมิตร
ความเชื่อทางศาสนาคริสต์
ชาวคริสต์ในชุมชนยังคงรักษาขนบธรรมเนียมของตน เช่น การเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสและอีสเตอร์
การแสดงความศรัทธาต่อพระเยซูคริสต์และนักบุญต่าง ๆ
มีการประกอบพิธีศีลล้างบาป การแต่งงานในโบสถ์ และพิธีศพตามแบบคาทอลิก
ความเชื่อทางศาสนาอิสลาม
ชาวมุสลิมในชุมชนปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด เช่น การละหมาดวันละ 5 เวลา การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
การประกอบพิธีนิกะห์ (การแต่งงาน) และพิธีกรรมอื่น ๆ ตามหลักศาสนาอิสลาม
มีอาหารฮาลาลที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทยและเปอร์เซีย
ความเชื่อพื้นบ้านและความเชื่อผสมผสาน
ในชุมชนมีการผสมผสานความเชื่อจากศาสนาต่าง ๆ และความเชื่อพื้นบ้าน เช่น ความเชื่อเรื่อง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า และดวงวิญญาณ
คนในชุมชนอาจไหว้เจ้าและศาลพระภูมิแม้ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม
มีความเชื่อในเรื่องโชคลาง ฮวงจุ้ย และพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต เช่น พิธีแต่งงาน การทำบุญขึ้นบ้านใหม่
แม้ว่าคนในชุมชนจะมีศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน และการร่วมเทศกาลสำคัญของแต่ละศาสนา
วัด โบสถ์ และมัสยิด ตั้งอยู่ใกล้กันโดยไม่มีความขัดแย้ง
มีเทศกาลและกิจกรรมชุมชนที่ส่งเสริมความเข้าใจและความสามัคคี เช่น งานฉลองโบสถ์ซางตาครู้ส งานเทศกาลกินเจ และงานรอมฎอน
ชุมชนกุฎีจีนเป็นตัวอย่างของสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและความเชื่อ ประเพณีของชาวพุทธ คริสต์ และอิสลามผสมผสานกันอย่างลงตัว นำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนแห่งนี้
หากคุณมีโอกาสไปเยี่ยมชมชุมชนกุฎีจีน อย่าลืมสังเกตถึงการผสมผสานของ 3 ศาสนา และ 4 ความเชื่อ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่มีเสน่ห์และน่าสนใจของที่นี่!
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นหนึ่งในวัดสำคัญของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ในพื้นที่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี เป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมของไทย โดยมีพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) เป็นพระประธานที่ได้รับความเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวจีนเป็นอย่างมาก
วัดกัลยาณมิตรสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดย เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ในสมัยนั้น ได้ถวายที่ดินและทรัพย์สินเพื่อสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้พระราชทานนามวัดว่า “วัดกัลยาณมิตร” ซึ่งหมายถึง "วัดแห่งมิตรที่ดี" เพื่อสื่อถึงความเป็นมิตรและความสามัคคี
พระประธานของวัดกัลยาณมิตรคือ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อโต” หรือ “ซำปอกง”
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
เป็นที่เคารพอย่างสูงของชาวไทยและชาวจีน โดยมีความเชื่อว่า การมาสักการะหลวงพ่อโตจะนำมาซึ่งความโชคดีและความเจริญรุ่งเรือง
คำว่า “ซำปอกง” เป็นชื่อที่ชาวจีนเรียก ซึ่งหมายถึง พระที่มีเมตตาและคุ้มครองผู้เดินทางโดยเฉพาะชาวเรือ
เป็นบทสวดที่มีต้นกำเนิดจากชาวจีนฮกเกี้ยน เชื่อกันว่าเมื่อสวดแล้วจะช่วยนำโชคลาภและความปลอดภัยมาให้
วัดกัลยาณมิตรเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมจีนที่สำคัญ เช่น เทศกาลตรุษจีน
เป็นคำอวยพรที่เกี่ยวข้องกับวัดกัลยาณมิตร ซึ่งหมายถึง การเดินทางที่ปลอดภัยและประสบความสำเร็จ
คำอวยพรนี้เป็นที่นิยมของนักเดินทางและพ่อค้าในอดีต
พระอุโบสถมีขนาดใหญ่และได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมจีนและไทย
มีพระวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นอาคารที่มีความโอ่อ่าและงดงาม
เจดีย์และศาลาริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่มบรรยากาศของวัดให้มีความสงบและศักดิ์สิทธิ์
พระวิหารด้านข้างตกแต่งด้วยศิลปะจีน เช่น ลวดลายมังกรและฉากไม้แกะสลัก
ปัจจุบัน วัดกัลยาณมิตรเป็นวัดที่มีผู้คนมากมายมาสักการะโดยเฉพาะในช่วง ตรุษจีน และวันสำคัญทางพุทธศาสนา วัดยังคงเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวจีนและไทยในฝั่งธนบุรี นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมวัดได้ทั้งทางบกและทางน้ำ โดยสามารถชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและสัมผัสบรรยากาศของวัดที่เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารเป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวไทยและจีน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของศิลปะและสถาปัตยกรรมไทย-จีนที่งดงาม วัดนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะแก่การมาไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต
ศาลเจ้าเกียนอันกง
ศาลเจ้าเกียนอันกง (เกียนอันเกง) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของ ชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่ในย่านธนบุรี กรุงเทพมหานคร ศาลเจ้านี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นศูนย์กลางของความศรัทธาและวัฒนธรรมจีนในพื้นที่
ศาลเจ้าเกียนอันกงสร้างขึ้นในช่วงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเชื่อว่ามีอายุราว 200 ปีขึ้นไป
เป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยนที่เดินทางมาค้าขายและตั้งรกรากในพื้นที่กุฎีจีน
คำว่า "เกียนอันกง" (建安宫, Jiàn ān gōng) หมายถึง "วังแห่งความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง"
ศาลเจ้าเกียนอันกงเป็นศาลเจ้าจีนที่มีความสำคัญต่อชาวไทยเชื้อสายจีน โดยประดิษฐานเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพบูชามาอย่างยาวนาน ได้แก่
เจ้าพ่อปุนเถ้ากง (本头公, Běn tóu gōng)
เป็นเทพเจ้าผู้ปกปักรักษาชุมชน
ชาวจีนฮกเกี้ยนและแต้จิ๋วให้ความเคารพนับถือ
เจ้าแม่ทับทิม (天后娘娘, Tiānhòu Niángniáng)
หรือที่รู้จักกันในชื่อ "มาจู่" (Mazu, 妈祖)
เป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเล คุ้มครองนักเดินทางและพ่อค้าเรือ
เจ้าพ่อเห้งเจีย (孙悟空, Sūn Wùkōng)
เทพเจ้าลิงในตำนาน "ไซอิ๋ว"
เป็นตัวแทนของความกล้าหาญและความสำเร็จ
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย (财神爷, Cáishén yé)
เทพแห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง
ตัวศาลเจ้าได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ
มี หลังคาทรงจีนโบราณ ประดับด้วยมังกรและลวดลายศิลปะจีน
ภายในมี แท่นบูชาหินอ่อนแกะสลัก และเครื่องสักการะที่สวยงาม
มีการใช้ สีแดงและทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภและความเป็นสิริมงคล
ป้ายอักษรจีนเก่าแก่ และรูปสลักไม้ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
ศูนย์กลางของชุมชนกุฎีจีน
ศาลเจ้าเกียนอันกงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในย่านกุฎีจีน
เทศกาลสำคัญ
ตรุษจีน – มีการไหว้เจ้าและขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล
เทศกาลกินเจ – มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
วันไหว้บรรพบุรุษ (เช็งเม้ง) – ลูกหลานมาร่วมกันไหว้เจ้าที่และบรรพบุรุษ
จุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ ย่านกุฎีจีน ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ปัจจุบันศาลเจ้าเกียนอันกงยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมากราบไหว้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนและเทศกาลกินเจ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมศิลปะจีนโบราณและสัมผัสบรรยากาศของชุมชนกุฎีจีนซึ่งเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ศาลเจ้าเกียนอันกงเป็นศาลเจ้าจีนเก่าแก่ในชุมชนกุฎีจีนที่มีความสำคัญทั้งทางศาสนาและวัฒนธรรม เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าจีนหลายองค์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนไทย-จีนในย่านธนบุรี หากคุณสนใจศึกษาเรื่องราวของชุมชนเก่าแก่และศิลปวัฒนธรรมจีนในกรุงเทพฯ ศาลเจ้าเกียนอันกงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด!
โบสถ์ซางตาครู้ส
โบสถ์ซางตาครู้ส (Santa Cruz Church) เป็นหนึ่งในโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ใน ชุมชนกุฎีจีน เขตธนบุรี โบสถ์แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และเป็นศูนย์กลางของชาวคาทอลิกเชื้อสายโปรตุเกสในประเทศไทย
โบสถ์ซางตาครู้สก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ชาวโปรตุเกสกลุ่มหนึ่งที่เคยตั้งรกรากอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้รับพระราชทานที่ดินจากพระเจ้าตากสินให้สร้างชุมชนและโบสถ์ขึ้นใหม่ที่ฝั่งธนบุรี หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310
โบสถ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาสำหรับชาวคาทอลิกเชื้อสายโปรตุเกส และได้รับชื่อว่า "ซางตาครู้ส" (Santa Cruz) ซึ่งหมายถึง "ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์"
โครงสร้างแรก (พ.ศ. 2313 - 2375)
โบสถ์แห่งแรกสร้างขึ้นด้วยไม้ในสมัยรัชกาลที่ 1
ใช้เป็นศูนย์กลางของชุมชนคาทอลิกในย่านกุฎีจีน
โครงสร้างที่สอง (พ.ศ. 2375 - 2450)
ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการสร้างโบสถ์ใหม่ด้วยอิฐและปูนแทนที่อาคารไม้เดิม
โครงสร้างได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมจีนและยุโรป
โครงสร้างปัจจุบัน (พ.ศ. 2450 - ปัจจุบัน)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการบูรณะครั้งใหญ่ โดยออกแบบเป็น สถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองซ์ (Renaissance) และนีโอคลาสสิก (Neoclassical)
สร้างโดยสถาปนิกชาวอิตาลี มีโดมสีแดงเด่นเป็นเอกลักษณ์
ภายในโบสถ์ประดับด้วยกระจกสีสเตนกลาสจากยุโรป
โดมแดง – เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของโบสถ์ มองเห็นได้จากระยะไกล
ซุ้มโค้งและเสาแบบโรมัน – ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมยุโรป
หน้าต่างกระจกสี (Stained Glass Windows) – นำเข้าจากยุโรป เป็นภาพนักบุญและเหตุการณ์ทางศาสนา
แท่นบูชาไม้แกะสลัก – ออกแบบอย่างประณีตโดยช่างฝีมือชาวยุโรป
ศูนย์กลางของชุมชนคาทอลิกโปรตุเกส
โบสถ์ซางตาครู้สเป็นสถานที่สำคัญของ ชุมชนไทย-โปรตุเกสในกุฎีจีน
สืบทอดวัฒนธรรมโปรตุเกสผ่านทางพิธีกรรม ศิลปะ และอาหาร เช่น ขนมฝรั่งกุฎีจีน
พิธีกรรมสำคัญทางศาสนา
พิธีมิสซา จัดขึ้นเป็นประจำทุกสัปดาห์
เทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์ เป็นช่วงเวลาที่มีการเฉลิมฉลองใหญ่
งานฉลองซางตาครู้ส (Santa Cruz Feast Day) เป็นงานสำคัญของชุมชน
มรดกทางวัฒนธรรม
โบสถ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน ซึ่งอยู่ใกล้กับโบสถ์ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของชุมชน
ปัจจุบันโบสถ์ซางตาครู้สยังคงเป็นศูนย์กลางของชุมชนคาทอลิกในย่านกุฎีจีน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมความงดงามของโบสถ์และสัมผัสวัฒนธรรมไทย-โปรตุเกสที่ยังคงสืบทอดมาหลายศตวรรษ
โบสถ์ซางตาครู้สเป็นหนึ่งในโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดของไทย สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างไทยและโปรตุเกส เป็นสถานที่สำคัญทั้งทางศาสนาและวัฒนธรรม ด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและบทบาทในการสืบทอดวัฒนธรรมคาทอลิกในประเทศไทย
มัสยิดบางหลวง
(กุฎีขาว)
มัสยิดบางหลวง หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กุฎีขาว" เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใน ชุมชนกุฎีจีน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นศาสนสถานของชาวมุสลิมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบไทยและเปอร์เซีย และเป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมในพื้นที่
คำว่า "กุฎี" มาจากคำในภาษาไทยที่หมายถึงที่พักของพระหรือนักบวช แต่ในกรณีของมัสยิดบางหลวง คำว่า "กุฎี" ถูกใช้เพื่อหมายถึงที่พักของผู้นำศาสนาอิสลาม
คำว่า "ขาว" น่าจะมาจากสีของตัวอาคารดั้งเดิมที่เป็นสีขาวสะอาด ทำให้ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "กุฎีขาว"
มัสยิดบางหลวงถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือราว พ.ศ. 2170-2200 โดยชุมชนมุสลิมเชื้อสาย เปอร์เซียและมลายู ที่เข้ามาค้าขายในสยาม
ในสมัยธนบุรี ชาวมุสลิมได้รับพระบรมราชานุเคราะห์จาก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้ตั้งรกรากบริเวณกุฎีจีน
ในสมัยรัชกาลที่ 1-3 มัสยิดได้รับการบูรณะและกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมในธนบุรี
มัสยิดบางหลวงมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากมัสยิดทั่วไปในประเทศไทย เนื่องจากได้รับอิทธิพลจาก ศิลปะไทยและเปอร์เซีย โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:
อาคารไม้ทรงไทย – เป็นมัสยิดที่สร้างจากไม้สักทองขนาดใหญ่ และมีรูปแบบคล้ายศาลาไทย
ไม่มีโดมหรือหออะซาน (Minaret) – ต่างจากมัสยิดทั่วไปที่มีหออะซาน มัสยิดแห่งนี้มีหลังคาทรงไทยแบบจั่ว
ลวดลายไม้แกะสลัก – มีรายละเอียดที่งดงาม สะท้อนถึงศิลปะไทยผสมเปอร์เซีย
ภายในมัสยิด – ปูด้วยไม้สักขัดมัน มีการจัดพื้นที่ละหมาดแบบดั้งเดิม
บริเวณรอบมัสยิด – มีสวนและพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมของชุมชน
ศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมในธนบุรี
เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิมในพื้นที่
เป็นศูนย์กลางของการศึกษาอิสลามและการละหมาดวันศุกร์
มรดกทางวัฒนธรรม
เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมมัสยิดที่ผสมผสานเอกลักษณ์ไทย-เปอร์เซีย
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรุงเทพฯ
บทบาททางประวัติศาสตร์
เป็นหลักฐานของการตั้งถิ่นฐานของชาวมุสลิมในกรุงธนบุรี
แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักไทยและชาวมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียและมลายู
ละหมาดวันศุกร์ (Jumu'ah Prayer)
ชาวมุสลิมจากชุมชนใกล้เคียงจะมาร่วมละหมาดทุกวันศุกร์
เดือนรอมฎอน (Ramadan)
มีการละหมาดตะรอวีห์และการละศีลอดร่วมกัน
วันฮารีรายอ (Eid al-Fitr และ Eid al-Adha)
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชาวมุสลิมในชุมชนมารวมตัวกัน
ปัจจุบันมัสยิดบางหลวงยังคงเป็นสถานที่สำคัญของชุมชนมุสลิมในกุฎีจีน
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถมาเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมในกรุงเทพฯ
ยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านศาสนา การศึกษา และกิจกรรมชุมชน
มัสยิดบางหลวง (กุฎีขาว) เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปี โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไทย-เปอร์เซีย และเป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมในกุฎีจีน มีบทบาทสำคัญทั้งทางศาสนาและวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ
ขนมกุฎีจีน เป็นขนมโบราณที่ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกส และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารของชุมชนชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสในย่านกุฎีจีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร ขนมชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
ขนมกุฎีจีนได้รับอิทธิพลจากขนมอบของชาวโปรตุเกสที่เดินทางเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชาวโปรตุเกสนำเทคนิคการทำขนมปังและขนมอบเข้ามาเผยแพร่ ซึ่งกลุ่มชุมชนชาวโปรตุเกสที่ตั้งรกรากในไทยต่อมาได้พัฒนาขนมชนิดนี้ให้มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยร่วมกับเทคนิคการทำขนมแบบตะวันตก
ขนมชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับ "โบโล" (Bolo) ของโปรตุเกส ซึ่งเป็นขนมเค้กที่ใช้ไข่เป็นส่วนผสมหลัก ขนมกุฎีจีนจึงถือเป็นหนึ่งในขนมที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของชาวโปรตุเกส เช่นเดียวกับขนมไทยอื่น ๆ อย่างทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง
ขนมกุฎีจีนมีลักษณะเป็น เค้กกลมแบน เนื้อขนมแน่น หอมกลิ่นไข่ และมีหน้าขนมโรยด้วยผลไม้แห้ง เมล็ดแตงโม หรือฟักเชื่อม รสชาติหวานกำลังดี และมีกลิ่นหอมจากเครื่องเทศบางชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม ขนมชนิดนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมักใช้ในงานเทศกาลสำคัญของชุมชนชาวกุฎีจีน โดยเฉพาะในช่วง เทศกาลสงกรานต์และวันคริสต์มาส ที่เป็นเวลาสำคัญของชุมชนชาวคริสต์เชื้อสายโปรตุเกสในไทย
ส่วนผสมหลักของขนมกุฎีจีน ได้แก่
ไข่ไก่
แป้งสาลี
น้ำตาลทราย
กะทิ
ผงฟู
ลูกเกด ฟักเชื่อม หรือเมล็ดแตงโม (สำหรับโรยหน้า)
ขนมกุฎีจีนเป็นมากกว่าขนมหวาน เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันระหว่างวัฒนธรรมไทยและโปรตุเกสที่หลอมรวมกันในชุมชนกุฎีจีนจนเกิดเป็นอัตลักษณ์เฉพาะ นอกจากนี้ ขนมชนิดนี้ยังถือเป็นหนึ่งในขนมมงคลที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ
ปัจจุบัน ขนมกุฎีจีนเป็นขนมหายากที่ยังคงมีการทำและจำหน่ายอยู่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในย่าน ชุมชนกุฎีจีน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแหล่งที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสเอาไว้
ขนมกุฎีจีนเป็นขนมไทยที่มีรากฐานจากโปรตุเกส และมีความสำคัญต่อชุมชนชาวกุฎีจีนในไทยมาหลายร้อยปี เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมผสมผสานที่ยังคงอยู่ในวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะหาทานได้ยากขึ้น แต่ขนมชนิดนี้ยังคงเป็นที่รู้จักในฐานะขนมโบราณที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความหมายเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง