14 มกราคม 2568
14 มกราคม 2568
ตำนาน “ดอกทานตะวัน” ผู้น่าสงสาร “เพียงแค่ได้มองเธอก็สุขใจแล้ว”
.
ดอกทานตะวัน ดอกไม้สีเหลืองอันแสนสดใส เป็นสัญลักษณ์ของความสุข และพลังบวกที่สามารถส่งต่อให้กับคนที่ได้รับ ในภาษาอังกฤษ คือ Sunflower ชื่อละติน Helianthus Annuus มาจากการรวมคำภาษากรีก Helios ซึ่งแปลว่า ดวงอาทิตย์ และ Anthos แปลว่า ดอกไม้
.
ดังนั้นความหมายรวมทั้งหมดคือ ดอกไม้แห่งดวงอาทิตย์
.
จากตำนานเทพเจ้ากรีก ต้นกำเนิดดอกทานทะวันเกี่ยวข้องกับเทพธิดานางพรายองค์หนึ่งนามว่า นางคลีที (Clytie) ซึ่งมักอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล วันหนึ่งพายุคลื่นใหญ่ได้ซัดพานางขึ้นมาบนฝั่ง ทำให้ได้พบกับ อะพอลโล (Apollo) เทพแห่งดวงอาทิตย์ ผู้แผ่ความอบอุ่นและแสงสว่างไปทั่วโลก
.
คลีทีจึงตกหลุมรักแสงสว่างอันอบอุ่นของอะพอลโล ที่ไม่เคยสัมผัสเมื่ออยู่ใต้น้ำอันหนาวเหน็บ
.
ทุก ๆ วันคลีทีจะคอยหันมองตามแสงสว่างของอะพอลโลตั้งแต่เช้า จนแสงตะวันลาลับ วันแล้ววันเล่าที่นางได้เพียรเฝ้ามองและส่งความรักไปให้ โดยไม่กินอาหารอะไรเลย กินแค่เพียงน้ำตาและหยดน้ำค้างเล็ก ๆ ประทังชีวิตเท่านั้น แต่เขาก็ไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อย
.
กระทั่งในวันที่ 9 ของการรอคอยอย่างสิ้นหวัง คลีทีก็ตรอมใจตายเพราะความรักที่ส่งไปไม่ถึง
.
เหล่าทวยเทพเกิดเห็นใจในความรักของนาง จึงบันดาลให้ครีทีกลายเป็นดอกทานตะวัน ที่จะหันดอกหาแสงดวงอาทิตย์เสมอ เพื่อให้ได้มองและชื่นชมเทพอะพอลโลตลอดไป
.
ดอกทานตะวันจึงเป็นตัวแทนของเครื่องพิสูจน์ความรักที่มั่นคง ยามใดที่เรามองไปยังทุ่งทานตะวัน ท่าทางของพวกมันที่มีต่อดวงอาทิตย์ กลายเป็นเครื่องเตือนใจถึงความซื่อสัตย์ในรักเดียว
.
เช่นเดียวกับที่นางคลีทีอุทิศตนให้รักอันเป็นนิรันดร์ฝ่ายเดียวของเธอต่ออะพอลโล
.
เรื่อง : กมลวรรณ ยุทธศิลป์
ภาพ : นางคลีทีกำลังมองอะพอลโลจากพื้นดิน (จาก Wikimedia Commons)
14 มกราคม 2568
เรื่องราวเกี่ยวกับ นักบุญวาเลนไทน์ มีหลากหลายเวอร์ชัน แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ:
ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 (Claudius II) แห่งจักรวรรดิโรมันออกคำสั่งห้ามไม่ให้ชายหนุ่มแต่งงาน เพราะเชื่อว่าชายโสดเป็นทหารที่ดีและแข็งแกร่งกว่าชายที่แต่งงานแล้ว นักบุญวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นนักบวชคริสเตียน ได้ลักลอบทำพิธีแต่งงานให้กับคู่รักหนุ่มสาวอย่างลับๆ จนกระทั่งถูกจับกุมและถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269
นักบุญวาเลนไทน์ถูกขังในคุก และได้ตกหลุมรักลูกสาวของผู้คุมที่ตาบอด แต่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเมื่อเขาสวดภาวนาให้เธอ และทำให้เธอกลับมามองเห็นได้ ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิต วาเลนไทน์ได้เขียนจดหมายถึงเธอ ลงท้ายด้วยคำว่า "From your Valentine" ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการเขียนจดหมายรักในวันวาเลนไทน์ในปัจจุบัน
วันวาเลนไทน์เริ่มเป็นที่รู้จักในยุโรปในยุคกลาง โดยในอังกฤษและฝรั่งเศส เชื่อว่า 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่นกเริ่มจับคู่ผสมพันธุ์ ทำให้วันดังกล่าวถูกเชื่อมโยงกับความรักและความโรแมนติก
ต่อมาในศตวรรษที่ 19 การส่งการ์ดวาเลนไทน์ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และมีการเพิ่มของขวัญต่างๆ เช่น ดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต และตุ๊กตาหมี จนกลายเป็นธรรมเนียมที่แพร่หลายไปทั่วโลก
ตำนานนางพญางูขาว (The Legend of the White Snake) เป็นหนึ่งในตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน มีที่มาจากนิทานพื้นบ้านและได้รับการเล่าขานผ่านวรรณกรรม ละครเวที ภาพยนตร์ และซีรีส์โทรทัศน์มากมาย เนื้อเรื่องผสมผสานระหว่างความรัก ความเสียสละ และความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ
ในสมัยโบราณ มีงูขาวตัวหนึ่งฝึกตนจนสามารถกลายร่างเป็นหญิงสาวสวยนามว่า ไป๋ซู่เจิน (白素贞) นางต้องการใช้ชีวิตแบบมนุษย์และอยากสัมผัสกับความรัก วันหนึ่ง นางได้พบกับ สวีเซียน (许仙) หนุ่มนักปรุงยาใจดี ทั้งสองตกหลุมรักกันและแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขที่เมืองหังโจว
อย่างไรก็ตาม พระนักพรต ฟาไห่ (法海) จากวัดจินซาน สงสัยในตัวไป๋ซู่เจิน และต้องการเปิดโปงว่านางเป็นปีศาจงู พระฟาไห่จึงวางแผนให้สวีเซียนให้ภรรยาของเขาดื่มเหล้าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้ไป๋ซู่เจินเผยร่างงูต่อหน้าสามี ด้วยความตกใจสุดขีด สวีเซียนหมดสติไป และถูกพระฟาไห่ล่อลวงไปอยู่ในวัด
ไป๋ซู่เจินพยายามช่วยสามี นางและเพื่อนสนิทคือ เสี่ยวชิง (小青) ปีศาจงูเขียว ได้บุกเข้าโจมตีวัดจินซาน เกิดศึกใหญ่ระหว่างนางกับพระฟาไห่ ในที่สุดไป๋ซู่เจินก็พ่ายแพ้ ถูกกักขังไว้ใต้เจดีย์เหลยเฟิง (雷峰塔) ขณะที่เสี่ยวชิงหนีรอดไปได้
หลายปีต่อมา เสี่ยวชิงกลับมาพร้อมพลังที่แข็งแกร่งขึ้น นางสามารถโค่นล้มอำนาจของพระฟาไห่และช่วยไป๋ซู่เจินออกจากเจดีย์ได้ ทำให้ไป๋ซู่เจินได้กลับมาอยู่กับสวีเซียนอีกครั้ง
ความรักต้องห้าม – เรื่องราวสะท้อนถึงการต่อสู้เพื่อความรักระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ
ธรรมะ vs อธรรม – ตำนานนี้มักถูกตีความว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างกฎแห่งธรรมะ (พระฟาไห่) กับความเมตตาและความรัก (ไป๋ซู่เจิน)
ความเสียสละและภักดี – ไป๋ซู่เจินเป็นตัวแทนของความรักที่บริสุทธิ์และความภักดีต่อสามี แม้จะถูกขัดขวาง นางก็ไม่เคยยอมแพ้
ตำนานนี้ถูกนำไปดัดแปลงเป็น งิ้ว ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และแอนิเมชัน หลายเวอร์ชัน
เป็นสัญลักษณ์ของ ความรักอมตะและการเสียสละ ในวัฒนธรรมจีน
สถานที่สำคัญในเรื่อง เช่น ทะเลสาบซีหู (西湖) ในหังโจว และเจดีย์เหลยเฟิง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
ตำนานนางพญางูขาวถือเป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านอมตะของจีน ที่ยังคงได้รับความนิยมและถูกเล่าขานผ่านยุคสมัยต่าง ๆ
13 มีนาคม 2568
ระเด่นลันได เป็นวรรณคดีไทยประเภทบทละครรำที่แต่งขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดย พระมหามนตรี (ทรัพย์) มีเนื้อหาเป็น เสภาขบขัน ซึ่งแต่งเป็นคำกลอน เสภา 8 มีลักษณะเด่นคือการใช้ ภาษาตลก ขบขัน และเสียดสีสังคม ในสมัยนั้น
"ระเด่นลันได" เป็นเรื่องราวของ ระเด่นลันได ซึ่งเป็นแขกชาวชวาที่ถูกขับไล่ออกจากเมือง จึงต้องเร่ร่อนอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ วันหนึ่งระเด่นลันไดได้พบกับ ประดู่ลาย ซึ่งเป็นหญิงงาม แต่เป็นลูกสาวของเศรษฐีที่มีนิสัยเจ้าชู้ และอยากมีสามีหลายคน
ทั้งสองตกหลุมรักกัน แต่เนื่องจากระเด่นลันไดเป็นเพียงชายยากจน ประดู่ลายจึงพยายามผลักไสเขา แต่ภายหลังก็ต้องยอมรับรักเขา เพราะเห็นถึงความจริงใจและความพยายามของระเด่นลันได อย่างไรก็ตาม ระเด่นลันไดต้องเผชิญกับคู่แข่งอื่นๆ ที่ต้องการแต่งงานกับประดู่ลายเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายและตลกขบขันขึ้น
ภาษาขบขันและการล้อเลียน
ใช้กลวิธีการเสียดสีเชิงตลก เช่น การพรรณนาความยากจนของระเด่นลันได และพฤติกรรมของประดู่ลาย
มีการใช้คำที่เป็นภาษาชาวบ้านผสมกับคำแบบชวาเพื่อสร้างสีสัน
สะท้อนค่านิยมของสังคมไทยในอดีต
เรื่องของฐานะทางสังคมและความรักที่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน
พฤติกรรมเจ้าชู้ของตัวละครหญิง ซึ่งขัดกับค่านิยมของหญิงไทยในสมัยนั้น ทำให้เป็นเรื่องที่แปลกใหม่
เป็นวรรณคดีที่แตกต่างจากวรรณคดีรักทั่วไป
ส่วนใหญ่วรรณคดีไทยเน้นความรักแบบสูงส่งหรือโศกเศร้า แต่ระเด่นลันไดกลับเป็นแนวขบขันและเสียดสี
ระเด่นลันได – ชายหนุ่มชาวชวาผู้ยากจนแต่จริงใจ
ประดู่ลาย – หญิงงามที่มีนิสัยเจ้าชู้ และต้องการมีสามีหลายคน
ตัวละครสมทบอื่นๆ – คู่แข่งของระเด่นลันได และคนรอบตัวที่ช่วยเสริมมุกตลกในเรื่อง
ความจริงใจและความพยายามสามารถเอาชนะอุปสรรคได้ แม้ว่าระเด่นลันไดจะยากจน แต่ความพยายามของเขาทำให้ประดู่ลายยอมรับ
การเสียดสีสังคมในเรื่องฐานะและความรัก แสดงให้เห็นว่าความรักในบางครั้งขึ้นอยู่กับสถานะทางสังคมมากกว่าความจริงใจ
ความตลกและความเป็นมนุษย์ของตัวละคร แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันของคนไทยในอดีต
"ระเด่นลันได" เป็นวรรณคดีแนวขบขันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยภาษาที่สนุกสนาน การล้อเลียนค่านิยม และการเสียดสีที่แฝงข้อคิดเกี่ยวกับสังคม เหมาะสำหรับการศึกษาเพื่อเข้าใจวัฒนธรรมและอารมณ์ขันของคนไทยในอดีต
อีมูกิ (Imugi, 이무기) เป็นงูยักษ์ในตำนานพื้นบ้านของเกาหลี ซึ่งมีความเชื่อว่ามันเป็นงูที่ยังไม่สามารถกลายร่างเป็นมังกรได้
อีมูกิเป็นงูขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือถ้ำลึก
มีลักษณะคล้ายมังกร แต่ยังไม่สามารถเป็นมังกรที่แท้จริงได้
ตามตำนานบางเรื่อง อีมูกิจะกลายเป็นมังกรเมื่อได้รับ "Yeouiju" (여의주, ลูกแก้ววิเศษของมังกร) หรือเมื่อฟ้าประทานพรให้มันเปลี่ยนร่างได้
อีมูกิกับการกลายร่างเป็นมังกร
เชื่อกันว่าหากอีมูกิสามารถได้รับพลังวิเศษหรือฝึกตนจนถึงขั้น มันจะสามารถกลายเป็น "Yong" (용, มังกรเกาหลี) ได้ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังอำนาจสูงในตำนานของเกาหลี
อีมูกิกับเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ
ในบางเรื่อง อีมูกิถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำที่มีพลังควบคุมสายน้ำและฝน คล้ายกับมังกรจีนหรือพญานาคของไทย
อีมูกิในตำนานแห่งโชคลาภและหายนะ
บางตำนานกล่าวว่าอีมูกิเป็นงูวิเศษที่หากพบเห็นจะนำโชคลาภมาให้
ขณะที่บางเรื่องราวกล่าวว่าอีมูกิอาจกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติหากไม่ได้รับการบูชาอย่างถูกต้อง
อีมูกิ → ยังไม่ใช่มังกรเต็มตัว เป็นงูยักษ์ที่กำลังพยายามกลายเป็นมังกร
ยง (Yong) → เป็นมังกรที่แท้จริง มีพลังและสถานะสูงกว่ามาก
ในขณะที่มังกรจีนหรือเกาหลีมักเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความเมตตา อีมูกิบางครั้งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของการดิ้นรนและความทะเยอทะยาน
อีมูกิปรากฏในหนังและซีรีส์หลายเรื่อง เช่น
D-War (2007) – หนังที่อีมูกิเป็นงูยักษ์พยายามกลายเป็นมังกร
Tale of the Nine Tailed (2020) – ซีรีส์เกาหลีที่อีมูกิเป็นตัวร้ายหลัก
✨ สรุป
อีมูกิเป็นตำนานที่น่าสนใจของเกาหลี เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโต ความพยายาม และความทะเยอทะยานในการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ คล้ายคลึงกับตำนานพญานาคของไทยที่สามารถกลายเป็นมังกรได้หากบำเพ็ญเพียร
7 กรกฎาคม 2568
ณ ฟากฝั่งของแม่น้ำสวรรค์ (ทางช้างเผือก) เรื่องราวความรักอันเป็นอมตะของหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้าได้ถูกเล่าขานผ่านดวงดาวและกาลเวลา กลายเป็นหนึ่งในตำนานพื้นบ้านที่ซาบซึ้งและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหลายวัฒนธรรมทั่วเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ตำนานนี้ไม่เพียงแต่บอกเล่าถึงความรักที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค แต่ยังเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และเป็นที่มาของเทศกาลสำคัญอีกด้วย
ตัวละครหลัก:
จือหนี่ว์ (织女) หรือ สาวทอผ้า ในตำนานจีน (หรือ โอริฮิเมะ ในตำนานญี่ปุ่น) เป็นนางฟ้าผู้มีฝีมือในการทอผ้าเป็นเลิศ อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของทางช้างเผือก นางเป็นพระธิดาของเง็กเซียนฮ่องเต้ (จักรพรรดิหยก) และมีหน้าที่ทอเมฆและสายรุ้งอันงดงามให้กับสรวงสวรรค์
หนิวหลาง (牛郎) หรือ หนุ่มเลี้ยงวัว (หรือ ฮิโกโบชิ ในตำนานญี่ปุ่น) เป็นชายหนุ่มชาวโลกผู้ขยันขันแข็งและมีจิตใจดีงาม เขาอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของทางช้างเผือกและเลี้ยงวัวเป็นอาชีพ
เนื้อเรื่อง:
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อจือหนี่ว์รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตอันจำเจบนสรวงสวรรค์ นางจึงแอบหนีลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ ที่นั่นเองนางได้พบกับหนิวหลาง ชายหนุ่มผู้กำลังเลี้ยงวัวอยู่ริมแม่น้ำ ทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบและตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา จือหนี่ว์ได้ละทิ้งหน้าที่บนสวรรค์และมาช่วยหนิวหลางทำไร่ไถนา ทั้งสองมีลูกด้วยกันสองคน เป็นชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเรียบง่าย
อย่างไรก็ตาม ความสุขของพวกเขาก็ดำเนินไปได้ไม่นานนัก เมื่อเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทราบว่าพระธิดาของพระองค์ได้หนีไปใช้ชีวิตกับมนุษย์เดินดิน ก็ทรงพระพิโรธเป็นอย่างยิ่ง จึงมีรับสั่งให้พระชายา (ในบางตำนานคือ หวังหมู่เหนียงเหนียง) ไปนำตัวจือหนี่ว์กลับสู่สรวงสวรรค์
การพลัดพรากอย่างกะทันหันสร้างความโศกเศร้าให้กับหนิวหลางเป็นอย่างมาก วัวของเขาซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสัตว์สวรรค์ที่ถูกส่งลงมายังโลกมนุษย์ ได้บอกให้หนิวหลางนำหนังของมันมาคลุมตัวแล้วจะสามารถเดินทางขึ้นไปบนสวรรค์ได้ หนิวหลางจึงทำตาม โดยหาบคอนใส่ลูกทั้งสองคนและเหาะตามจือหนี่ว์ขึ้นไป
เมื่อใกล้จะตามทัน หวังหมู่เหนียงเหนียงได้ใช้ปิ่นปักผมของพระนางขีดท้องฟ้าให้กลายเป็นแม่น้ำสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาล หรือ "ทางช้างเผือก" เพื่อขวางกั้นทั้งสองไว้ หนิวหลางและจือหนี่ว์จึงทำได้เพียงยืนร้องไห้มองหน้ากันคนละฝั่งของแม่น้ำ
ความรักอันมั่นคงของทั้งสองทำให้เหล่าบรรดานกสาลิกาเกิดความสงสาร พวกมันจึงพากันบินมาเรียงตัวเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสวรรค์เพื่อให้หนิวหลางและจือหนี่ว์ได้พบกัน ด้วยเหตุนี้ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงทรงใจอ่อนและอนุญาตให้ทั้งสองสามารถพบกันได้ปีละหนึ่งครั้ง ใน วันที่เจ็ด เดือนเจ็ด ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี
ความเชื่อมโยงกับดาราศาสตร์และเทศกาล:
ตำนานนี้มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับดวงดาวบนท้องฟ้า โดย ดาวเวกา (Vega) ในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) คือตัวแทนของสาวทอผ้า (จือหนี่ว์) และ ดาวอัลแทร์ (Altair) ในกลุ่มดาวนกอินทรี (Aquila) คือตัวแทนของหนุ่มเลี้ยงวัว (หนิวหลาง) ส่วนทางช้างเผือกที่ทอดยาวผ่านกลางท้องฟ้านั้นก็คือแม่น้ำสวรรค์ที่ขวางกั้นความรักของทั้งสองเอาไว้
จากตำนานดังกล่าว ได้ก่อให้เกิด เทศกาลชีซี (七夕节) ในประเทศจีน หรือที่รู้จักกันในนาม "วันแห่งความรักของจีน" และ เทศกาลทานาบาตะ (七夕) ในประเทศญี่ปุ่น ในวันดังกล่าว ผู้คนจะเฉลิมฉลองด้วยการประดับประดาต้นไผ่ด้วยกระดาษสีสันสดใสที่เขียนคำอธิษฐานขอพร โดยเฉพาะเรื่องความรักและความสมหวัง นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อรำลึกถึงเรื่องราวความรักของสาวทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัวอีกด้วย
ดังนั้น ตำนานสาวทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัวจึงไม่ได้เป็นเพียงนิทานรักโรแมนติก แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ความผูกพันกับธรรมชาติและดวงดาวของผู้คนในอดีต รวมทั้งเป็นต้นกำเนิดของประเพณีและเทศกาลอันงดงามที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน