7 กรกฎาคม 2568
MANOVA (Multivariate Analysis of Variance) หรือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ เป็นเครื่องมือทางสถิติขั้นสูงที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรตาม (Dependent Variables) ที่มีลักษณะเป็นข้อมูลต่อเนื่อง (Continuous Data) ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ระหว่างกลุ่มของตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ที่มีลักษณะเป็นข้อมูลจัดกลุ่ม (Categorical Data) ตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น MANOVA ช่วยให้นักวิจัยสามารถตอบคำถามที่ว่า "กลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน (เช่น เพศ, ระดับการศึกษา, กลุ่มทดลอง) มีความแตกต่างกันในชุดของตัวแปรที่เราสนใจศึกษาหลายๆ ตัวพร้อมกันหรือไม่"
สมมติว่านักวิจัยต้องการศึกษาว่าโปรแกรมการสอน 3 รูปแบบ (A, B, C) ส่งผลต่อ "ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน" และ "ความพึงพอใจในการเรียน" หรือไม่ หากใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) นักวิจัยจะต้องทำการทดสอบ 2 ครั้ง:
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่าง 3 กลุ่ม
เปรียบเทียบความพึงพอใจในการเรียนระหว่าง 3 กลุ่ม
ปัญหาของการทำ ANOVA หลายครั้งคือการเพิ่มขึ้นของ ความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 (Type I Error) หรือการปฏิเสธสมมติฐานหลักที่ถูกต้อง (สรุปว่ามีความแตกต่าง ทั้งที่จริงแล้วไม่มี) MANOVA ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมความคลาดเคลื่อนนี้โดยการทดสอบตัวแปรตามทั้งหมดพร้อมกันในครั้งเดียว นอกจากนี้ MANOVA ยังสามารถตรวจจับความแตกต่างที่ซับซ้อนระหว่างกลุ่ม ซึ่งอาจไม่ปรากฏให้เห็นหากวิเคราะห์ตัวแปรตามทีละตัว
วัตถุประสงค์หลักของ MANOVA คือการทดสอบว่าเวกเตอร์ของค่าเฉลี่ย (Vector of Means) ของตัวแปรตามในแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่ โดยพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามเหล่านั้นด้วย
ตัวแปรอิสระ (Independent Variable): ต้องมีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงกลุ่ม (Categorical) ตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป เช่น รูปแบบการสอน (A, B, C), เพศ (ชาย, หญิง), กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
ตัวแปรตาม (Dependent Variables): ต้องมีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (Continuous) ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป และควรมีความสัมพันธ์กันในทางทฤษฎี เช่น คะแนนสอบ, ระดับคอเลสเตอรอล, ความสูง, น้ำหนัก
การวิเคราะห์ MANOVA มีขั้นตอนที่ชัดเจน ตั้งแต่การตั้งสมมติฐานไปจนถึงการแปลผลและสรุปผล ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การตั้งสมมติฐานการวิจัย
สมมติฐานหลัก (Null Hypothesis, H0): ไม่มีความแตกต่างของเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยของชุดตัวแปรตามระหว่างกลุ่มของตัวแปรอิสระ หรือกล่าวคือ H0:μ1=μ2=...=μk โดยที่ μi คือเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ i
สมมติฐานรอง (Alternative Hypothesis, H1): มีเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยของชุดตัวแปรตามอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น
ขั้นตอนที่ 2: การตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้น (Assumptions)
MANOVA เป็นสถิติเชิงอนุมานที่มีข้อตกลงเบื้องต้นที่ต้องตรวจสอบก่อนการวิเคราะห์ เพื่อให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ ดังนี้
ความเป็นอิสระของข้อมูล (Independence of Observations): ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากแต่ละหน่วยตัวอย่างต้องเป็นอิสระต่อกัน
ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เพียงพอ (Adequate Sample Size): ในแต่ละเซลล์หรือกลุ่มย่อย ควรมีจำนวนตัวอย่างมากกว่าจำนวนตัวแปรตาม
การไม่มีค่าผิดปกติแบบหลายตัวแปร (Absence of Multivariate Outliers): ตรวจสอบค่าผิดปกติโดยใช้ระยะทางมหาลาโนบิส (Mahalanobis Distance)
ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงระหว่างตัวแปรตาม (Linearity): ตัวแปรตามแต่ละคู่ควรมีความสัมพันธ์กันในลักษณะเชิงเส้นตรงในแต่ละกลุ่มของตัวแปรอิสระ
การไม่มีภาวะร่วมเส้นตรงเชิงพหุ (Absence of Multicollinearity): ตัวแปรตามไม่ควรมีความสัมพันธ์กันเองสูงเกินไป (โดยทั่วไปค่าสหสัมพันธ์ไม่ควรเกิน 0.8 หรือ 0.9)
การแจกแจงแบบปกติพหุคูณ (Multivariate Normality): ตัวแปรตามควรมีการแจกแจงแบบปกติในหลายตัวแปร ซึ่งในทางปฏิบัติมักตรวจสอบได้ยาก แต่มักอนุโลมได้หากขนาดกลุ่มตัวอย่างมีขนาดใหญ่
ความเท่ากันของเมทริกซ์ความแปรปรวนร่วม (Homogeneity of Variance-Covariance Matrices): ความแปรปรวนของตัวแปรตามแต่ละตัวและความแปรปรวนร่วมระหว่างคู่ของตัวแปรตามควรจะเท่ากันในทุกกลุ่มของตัวแปรอิสระ ทดสอบด้วยสถิติ Box's M Test ซึ่งต้องการผลที่ "ไม่มี" นัยสำคัญทางสถิติ (p-value > 0.001)
ขั้นตอนที่ 3: การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผล
หลังจากตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นแล้ว จึงทำการรันการวิเคราะห์ MANOVA ด้วยโปรแกรมทางสถิติ เช่น SPSS ซึ่งผลลัพธ์ที่สำคัญที่ต้องพิจารณาอยู่ในตาราง "Multivariate Tests"
สถิติทดสอบหลัก 4 ค่าใน MANOVA:
โดยทั่วไปโปรแกรมจะรายงานค่าสถิติ 4 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่มักให้ผลการตัดสินใจที่สอดคล้องกัน:
Pillai's Trace: เป็นสถิติที่ทนทาน (Robust) ที่สุดต่อการละเมิดข้อตกลงเบื้องต้นเรื่องความเท่ากันของเมทริกซ์ความแปรปรวนร่วม และแนะนำให้ใช้เมื่อขนาดกลุ่มตัวอย่างไม่เท่ากัน
Wilks' Lambda (Λ): เป็นสถิติที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด
Hotelling's Trace: มีความเหมาะสมเมื่อมีกลุ่มของตัวแปรอิสระเพียง 2 กลุ่ม
Roy's Largest Root: เป็นสถิติที่มีอำนาจการทดสอบสูงสุดเมื่อความแตกต่างระหว่างกลุ่มเป็นแบบมิติเดียว (unidimensional) แต่จะอ่อนไหวมากหากละเมิดข้อตกลงเบื้องต้น
การแปลผล: ให้ดูที่ค่า "Sig." หรือ p-value ของสถิติทดสอบเหล่านี้
ถ้า p-value ≤ 0.05 (หรือระดับนัยสำคัญที่ตั้งไว้): แสดงว่าเราปฏิเสธสมมติฐานหลัก (H0) สรุปได้ว่า ตัวแปรอิสระมีอิทธิพลต่อชุดของตัวแปรตาม หรือมีความแตกต่างของเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยของชุดตัวแปรตามระหว่างกลุ่มอย่างน้อยหนึ่งคู่
ถ้า p-value > 0.05: แสดงว่าเรายอมรับสมมติฐานหลัก (H0) สรุปได้ว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปว่ามีความแตกต่าง ของเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยของชุดตัวแปรตามระหว่างกลุ่ม
ขั้นตอนที่ 4: การทดสอบหลังการวิเคราะห์ (Post-Hoc Tests)
หากผล MANOVA มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value ≤ 0.05) นั่นหมายความว่ามีความแตกต่างเกิดขึ้น "ที่ไหนสักแห่ง" ระหว่างกลุ่ม แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า:
กลุ่มคู่ใดที่แตกต่างกัน?
ความแตกต่างนั้นเกิดขึ้นที่ตัวแปรตามตัวใด?
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อตอบคำถามเหล่านี้:
การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (Follow-up ANOVAs): ทำการทดสอบ ANOVA ให้กับตัวแปรตามแต่ละตัว เพื่อดูว่าตัวแปรตามตัวใดที่ได้รับอิทธิพลจากตัวแปรอิสระบ้าง อย่างไรก็ตาม ควรมีการปรับแก้ระดับนัยสำคัญเพื่อควบคุม Type I Error เช่น การปรับแก้แบบบอนเฟอร์โรนี (Bonferroni adjustment) โดยนำระดับนัยสำคัญตั้งต้น (เช่น 0.05) หารด้วยจำนวนตัวแปรตาม
การเปรียบเทียบพหุคูณ (Multiple Comparisons): หาก ANOVA ที่ตามมามีนัยสำคัญ และตัวแปรอิสระมีมากกว่า 2 กลุ่ม ให้ทำการทดสอบการเปรียบเทียบรายคู่ (Pairwise Comparisons) เช่น Tukey's HSD, Scheffé, หรือ Bonferroni เพื่อดูว่ากลุ่มใดบ้างที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในตัวแปรตามนั้นๆ
นักจิตวิทยาต้องการศึกษาว่า "รูปแบบการบำบัด" (ตัวแปรอิสระ: การบำบัดแบบปรับความคิดและพฤติกรรม, การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์, กลุ่มควบคุม) มีผลต่อ "ระดับความวิตกกังวล" และ "คุณภาพการนอนหลับ" (ตัวแปรตาม) ของผู้ป่วยหรือไม่
ตั้งสมมติฐาน: H0: ไม่มีความแตกต่างของระดับความวิตกกังวลและคุณภาพการนอนหลับระหว่างกลุ่มบำบัดทั้ง 3 กลุ่ม
ตรวจสอบข้อตกลง: เก็บข้อมูลและตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นของ MANOVA
วิเคราะห์ MANOVA:
ถ้่าผล Wilks' Lambda มี p-value = 0.02 (≤ 0.05) สรุปได้ว่า รูปแบบการบำบัดมีผลต่อระดับความวิตกกังวลและคุณภาพการนอนหลับร่วมกัน
วิเคราะห์ Post-Hoc:
Follow-up ANOVAs: พบว่ารูปแบบการบำบัดมีผลต่อระดับความวิตกกังวล (p < 0.05) แต่ไม่มีผลต่อคุณภาพการนอนหลับ (p > 0.05)
Multiple Comparisons (สำหรับความวิตกกังวล): พบว่ากลุ่มที่ได้รับการบำบัดแบบปรับความคิดและพฤติกรรมมีระดับความวิตกกังวลต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
สรุป: MANOVA เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรตามหลายตัว ช่วยให้เห็นภาพรวมของความแตกต่างระหว่างกลุ่มได้อย่างครอบคลุมและลดความเสี่ยงของความคลาดเคลื่อนในการสรุปผล การทำความเข้าใจในหลักการ ขั้นตอน และข้อตกลงเบื้องต้น จะช่วยให้นักวิจัยสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ