5 พฤศจิกายน 2567
ระบบไฟฟ้าพลังงานคลื่นในทะเล (Wave Energy Conversion Systems) เป็นระบบที่ใช้พลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของคลื่นทะเลมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า เป็นหนึ่งในพลังงานหมุนเวียนที่กำลังได้รับความสนใจเพราะใช้แหล่งพลังงานจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ระบบพลังงานคลื่นในทะเลมีหลายเทคโนโลยีในการทำงาน ซึ่งบางระบบที่เป็นที่นิยมได้แก่:
Oscillating Water Column (OWC)
ระบบนี้ใช้หลักการของการเคลื่อนที่ของคลื่นที่เข้าสู่ห้องปิด แล้วทำให้เกิดการอัดตัวและปล่อยตัวของอากาศผ่านกังหันลมที่เชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
Point Absorbers
อุปกรณ์ที่ใช้ลอยอยู่บนน้ำ ซึ่งสามารถขยับขึ้นและลงตามคลื่น ระบบนี้จะใช้การเคลื่อนไหวขึ้นลงเพื่อขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
Attenuators
อุปกรณ์ชนิดนี้วางตัวตามแนวคลื่น ระบบจะใช้การเคลื่อนไหวของแต่ละส่วนที่ต่างกันตามคลื่นทะเลเพื่อสร้างแรงขับในการผลิตไฟฟ้า
Overtopping Devices
ระบบนี้ใช้คลื่นที่สูงขึ้นมาตามเครื่องกักเก็บน้ำ แล้วปล่อยน้ำไหลลงเพื่อหมุนกังหันและผลิตไฟฟ้า
ข้อดีของระบบพลังงานคลื่นในทะเล:
แหล่งพลังงานที่มีความต่อเนื่องและยั่งยืน
มีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่าพลังงานลม
ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ข้อเสีย:
ต้นทุนในการพัฒนาและติดตั้งสูง
มีความท้าทายในเรื่องการออกแบบให้ระบบทนทานต่อสภาพแวดล้อมทะเล
ผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล
พลังงานคลื่นถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพ แต่ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและลดต้นทุนในการใช้งาน
ระบบ Oscillating Water Column (OWC) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานคลื่นที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นระบบที่มีการออกแบบเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพในกระบวนการแปลงพลังงานคลื่นเป็นพลังงานไฟฟ้า
โครงสร้างพื้นฐาน: ระบบ OWC มักถูกติดตั้งในบริเวณชายฝั่งหรือใกล้ชายฝั่ง โดยมีโครงสร้างที่สร้างห้องปิดซึ่งเรียกว่า "Chamber" ที่อยู่บางส่วนใต้น้ำ ส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำจะเป็นอากาศซึ่งเชื่อมต่อกับกังหันลม
การทำงานของคลื่น: เมื่อคลื่นทะเลเคลื่อนเข้ามาในห้องปิด น้ำทะเลจะดันขึ้นในห้อง ซึ่งทำให้อากาศที่อยู่ด้านบนถูกบีบอัดและไหลออกไปผ่านกังหันลม
การเคลื่อนที่ของอากาศ: การเคลื่อนที่ของคลื่นไม่เพียงแต่ดันน้ำขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อคลื่นถอยกลับ น้ำในห้องก็จะลดลง ซึ่งส่งผลให้เกิดการดูดอากาศกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งผ่านกังหันลม ระบบนี้จะทำงานทั้งในขณะที่คลื่นเคลื่อนเข้ามาและถอยออกไป ซึ่งทำให้กังหันลมหมุนได้ทั้งสองทิศทาง
การผลิตไฟฟ้า: กังหันลมที่ติดตั้งในระบบ OWC ถูกออกแบบให้ทำงานแบบทิศทางเดียว (Unidirectional Turbine) ซึ่งหมายความว่ากังหันลมจะหมุนในทิศทางเดียวกันไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ของอากาศเข้าหรือออก ทำให้ระบบสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
เรียบง่ายและทนทาน: ระบบ OWC มีการออกแบบที่เรียบง่าย เนื่องจากไม่มีส่วนเคลื่อนไหวในน้ำ ทำให้มีความทนทานและการบำรุงรักษาง่าย
เหมาะสำหรับพื้นที่ชายฝั่ง: OWC เหมาะกับการติดตั้งในพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและใช้ประโยชน์จากพลังงานคลื่นที่เกิดจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ระบบนี้ไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและไม่ทำลายระบบนิเวศทางทะเล
การพึ่งพาสภาพภูมิประเทศ: ระบบ OWC ต้องการสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสม เช่น ชายฝั่งที่มีคลื่นแรง ซึ่งจำกัดพื้นที่ที่สามารถติดตั้งได้
ต้นทุนสูงในการก่อสร้าง: การก่อสร้างและติดตั้งโครงสร้างขนาดใหญ่ในทะเลหรือใกล้ชายฝั่งมีค่าใช้จ่ายสูง
ระบบ OWC จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสามารถช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ในระยะยาว
ระบบ Point Absorbers เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำหรับการเก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นทะเล ซึ่งเป็นระบบที่ถูกออกแบบให้ลอยอยู่บนน้ำและสามารถเคลื่อนที่ได้ในทุกทิศทางตามการเคลื่อนไหวของคลื่น ระบบนี้มักจะมีขนาดเล็กและถูกออกแบบให้ใช้ประโยชน์จากพลังงานคลื่นในพื้นที่ที่กว้างขวาง
โครงสร้างและตำแหน่ง: Point Absorbers มักมีลักษณะเป็นทุ่นลอยขนาดเล็กที่ถูกยึดติดกับพื้นทะเลหรือใช้ระบบยึดลอย ในบางกรณี ทุ่นลอยอาจมีขนาดใหญ่พอที่จะทนต่อสภาพทะเลที่รุนแรง โดยระบบนี้สามารถลอยได้ในตำแหน่งเดียวหรือในกลุ่มของทุ่นหลายตัว
การเคลื่อนไหวในแนวดิ่ง: จุดเด่นของระบบ Point Absorbers คือการเคลื่อนที่ขึ้นและลงตามคลื่น ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง การเคลื่อนไหวนี้เกิดจากการที่คลื่นทะเลมากระทบกับทุ่นและทำให้เกิดแรงดันและแรงบิดภายในตัวระบบ
การแปลงพลังงานเป็นไฟฟ้า: การเคลื่อนที่ขึ้นและลงของทุ่นลอยนี้จะถูกใช้ในการขับเคลื่อนอุปกรณ์กลไกหรือกังหันที่เชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้เกิดการผลิตพลังงานไฟฟ้า การเคลื่อนที่ทั้งในทิศทางขึ้นและลงของทุ่นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การส่งพลังงาน: พลังงานที่ผลิตได้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในระบบ Point Absorbers จะถูกส่งไปยังสถานีแปลงพลังงานบนฝั่งหรือเก็บไว้ในแบตเตอรี่ที่อยู่ในตัวระบบ แล้วส่งต่อไปใช้บนฝั่งหรือระบบที่เชื่อมต่อ
ใช้พื้นที่น้อย: เนื่องจากอุปกรณ์ Point Absorbers มีขนาดเล็กและถูกออกแบบให้ใช้พื้นที่ทางทะเลไม่มาก จึงสามารถติดตั้งในพื้นที่ที่มีพื้นที่จำกัดได้
เก็บเกี่ยวพลังงานจากทุกทิศทาง: ระบบ Point Absorbers สามารถรับพลังงานจากคลื่นที่มากระทบในทุกทิศทาง ทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
ติดตั้งในกลุ่มหรือเดี่ยวได้: ระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะติดตั้งในรูปแบบเดี่ยวหรือติดตั้งในกลุ่มที่กระจายอยู่ในทะเล
ต้นทุนการบำรุงรักษา: การดูแลและบำรุงรักษาระบบที่อยู่กลางทะเลอาจมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการสึกหรอจากการสัมผัสกับน้ำทะเลตลอดเวลา
ความท้าทายทางเทคนิค: การออกแบบให้ระบบมีความแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมทางทะเลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น คลื่นสูง ลมแรง และสภาพอากาศที่เลวร้าย
Point Absorbers เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานจากคลื่นทะเลเป็นพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเคลื่อนไหวขึ้นลงตามคลื่นทะเล อุปกรณ์นี้มีศักยภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพในพื้นที่ที่มีคลื่นทะเลสูง
ระบบ Attenuators เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงพลังงานคลื่นทะเลเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยใช้หลักการของการเคลื่อนที่ของคลื่นที่แตกต่างกันในแต่ละจุดของอุปกรณ์ Attenuators มีความยาวและวางตัวในแนวนอนตามทิศทางของคลื่น ซึ่งทำให้อุปกรณ์นี้สามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของคลื่นในหลายมิติ
โครงสร้างพื้นฐาน: Attenuators มักมีลักษณะเป็นทุ่นยาวที่เชื่อมต่อกันเป็นส่วน ๆ โดยการเชื่อมต่อแต่ละจุดมีความยืดหยุ่น สามารถเคลื่อนที่ได้เมื่อคลื่นทะเลมากระทบ โดยระบบนี้ถูกออกแบบให้ลอยอยู่บนผิวน้ำและวางตัวขนานไปกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น
การเคลื่อนที่ของคลื่น: เมื่อคลื่นเคลื่อนตัวผ่านอุปกรณ์ Attenuators แต่ละส่วนของอุปกรณ์จะเคลื่อนที่ขึ้นและลงตามแรงคลื่นที่มากระทบ ซึ่งแต่ละส่วนของทุ่นอาจมีการเคลื่อนที่ในขนาดและทิศทางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและขนาดของคลื่น
การแปลงพลังงานเป็นไฟฟ้า: การเคลื่อนที่ต่างกันระหว่างส่วนของทุ่นที่เชื่อมต่อกันนี้จะถูกแปลงเป็นพลังงานกลผ่านการขับเคลื่อนกลไกภายใน เช่น ไฮดรอลิกหรือการขับเคลื่อนกังหัน เครื่องกลภายในเหล่านี้จะทำงานกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อแปลงพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า
การผลิตพลังงานอย่างต่อเนื่อง: เนื่องจาก Attenuators มีความยาวและใช้พื้นที่ในแนวนอน ทำให้อุปกรณ์นี้สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานคลื่นที่เคลื่อนตัวผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบจะทำงานได้ต่อเนื่องเนื่องจากคลื่นทะเลมีความสม่ำเสมอในบางพื้นที่ ทำให้การผลิตพลังงานเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลายาวนาน
เก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นได้อย่างต่อเนื่อง: เนื่องจาก Attenuators ถูกออกแบบให้ยาวตามแนวคลื่น การเคลื่อนที่ของคลื่นในทุก ๆ ส่วนของอุปกรณ์จะสามารถผลิตพลังงานได้ตลอดเวลา
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: Attenuators สามารถปรับใช้ได้ในพื้นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่คลื่นทะเลแรงหรือน้อย
ความทนทาน: เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมในทะเล Attenuators มีอายุการใช้งานที่ยาวนานเมื่อได้รับการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม
ต้องการพื้นที่ติดตั้งกว้างขวาง: เนื่องจากอุปกรณ์นี้มีขนาดยาวและต้องติดตั้งขนานไปกับคลื่น การติดตั้ง Attenuators ต้องใช้พื้นที่มากในทะเล
ต้นทุนสูง: ทั้งการผลิตและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่มีความยาวและทำงานในทะเลมักจะมีค่าใช้จ่ายสูง
Attenuators เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการแปลงพลังงานคลื่นที่ใช้ความยาวของอุปกรณ์ในการดึงพลังงานจากคลื่นทะเล ด้วยการเคลื่อนไหวของแต่ละส่วนตามแรงคลื่น ทำให้อุปกรณ์นี้มีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ระบบ Overtopping Devices เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปลงพลังงานจากคลื่นทะเลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า ระบบนี้ใช้ประโยชน์จากการที่คลื่นน้ำทะเลถูกดันขึ้นไปบนโครงสร้างของอุปกรณ์และเก็บน้ำที่ล้นขึ้นมา จากนั้นปล่อยน้ำไหลลงมาผ่านกังหันเพื่อผลิตพลังงาน
โครงสร้างพื้นฐาน: Overtopping Devices มักมีลักษณะเป็นโครงสร้างที่มีผนังสูง ซึ่งคล้ายกับเขื่อนขนาดเล็ก โดยมีช่องเปิดหรือบ่ากักเก็บน้ำอยู่ด้านบน โครงสร้างนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีคลื่นแรง คลื่นจะถูกดันขึ้นเหนือผนังและน้ำที่ล้นหรือกระเด็นขึ้นมาจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในบ่ากักเก็บน้ำด้านบนของอุปกรณ์
การเคลื่อนที่ของคลื่น: คลื่นทะเลที่เข้ามาปะทะกับโครงสร้างจะทำให้น้ำถูกดันขึ้นสูงกว่าระดับปกติของน้ำทะเล เมื่อน้ำล้นขึ้นมาในบ่ากักเก็บด้านบน น้ำจะถูกปล่อยออกจากบ่าแล้วไหลลงตามแรงโน้มถ่วงผ่านกังหันที่อยู่ด้านล่าง
การผลิตพลังงาน: น้ำที่ไหลลงผ่านกังหันจะทำให้กังหันหมุนและผลิตพลังงานกล ซึ่งจะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การหมุนของกังหันจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากคลื่นทะเลมีความสม่ำเสมอในการเคลื่อนตัวเข้ามายังโครงสร้าง
การออกแบบ: Overtopping Devices สามารถติดตั้งได้ทั้งในบริเวณชายฝั่งหรือในทะเลที่คลื่นทะเลมีความรุนแรง ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและแหล่งพลังงานที่ต้องการใช้ อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบให้ทนทานต่อการกัดกร่อนจากน้ำทะเลและการปะทะของคลื่นแรง ๆ
สามารถผลิตพลังงานอย่างต่อเนื่อง: เนื่องจากคลื่นทะเลเป็นแหล่งพลังงานที่ต่อเนื่อง การทำงานของ Overtopping Devices สามารถดำเนินไปได้ทั้งวัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคลื่นทะเลสูง
การออกแบบที่แข็งแรง: อุปกรณ์นี้มักถูกสร้างขึ้นให้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมทางทะเล และสามารถใช้งานได้ยาวนาน
ความเหมาะสมในพื้นที่ที่มีคลื่นแรง: พื้นที่ที่มีคลื่นแรงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้ดี เพราะสามารถดักจับพลังงานจากคลื่นที่มีความสูงมากขึ้น
ต้นทุนการก่อสร้างสูง: การก่อสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ในทะเลหรือใกล้ชายฝั่งต้องใช้วัสดุที่แข็งแรงและทนทานต่อน้ำทะเล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: โครงสร้างขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่งอาจมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล เช่น การเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสน้ำและการเคลื่อนย้ายตะกอน
Overtopping Devices เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากพลังงานคลื่นทะเลในการกักเก็บน้ำทะเลที่ถูกคลื่นดันขึ้นสูง และนำมาผลิตพลังงานผ่านการปล่อยน้ำลงมากังหัน ระบบนี้เหมาะกับพื้นที่ที่มีคลื่นทะเลสูงและสามารถผลิตพลังงานหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะประเทศที่มีแนวชายฝั่งยาวและมีศักยภาพในการเก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นทะเล นี่คือบางประเทศที่มีการใช้หรือทดสอบระบบพลังงานไฟฟ้าจากคลื่นทะเล:
สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาพลังงานคลื่นทะเล โดยเฉพาะในสกอตแลนด์ ที่มีโครงการทดสอบและพัฒนาระบบพลังงานคลื่นอยู่หลายโครงการ เช่น โครงการ "Wave Hub" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทดสอบพลังงานคลื่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบ OWC และ Point Absorbers ที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของสกอตแลนด์
โปรตุเกสเป็นประเทศที่มีแนวชายฝั่งยาวและคลื่นทะเลที่มีความสม่ำเสมอ จึงเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ลงทุนในการพัฒนาพลังงานคลื่น ระบบพลังงานจากคลื่นที่มีชื่อเสียงในโปรตุเกสได้แก่ "Pelamis Wave Energy Converter" ซึ่งเป็น Attenuator แบบยาวที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากคลื่นทะเลได้ นอกจากนี้ยังมีโครงการ OWC ที่ใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าร่วมกับโครงการทดสอบต่าง ๆ
ออสเตรเลียมีชายฝั่งทะเลที่กว้างขวางและมีศักยภาพในการเก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นทะเล โดยเฉพาะในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย โครงการที่มีชื่อเสียงในออสเตรเลีย ได้แก่ "Carnegie Wave Energy Project" ซึ่งใช้ระบบ Point Absorber ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนา OWC สำหรับการทดสอบพลังงานจากคลื่นในพื้นที่ต่าง ๆ
นอร์เวย์มีแนวชายฝั่งยาวและทะเลที่มีคลื่นแรง จึงเหมาะสำหรับการพัฒนาพลังงานคลื่นทะเล นอร์เวย์ได้พัฒนาโครงการต่าง ๆ รวมถึงโครงการทดลองและวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Overtopping Devices และระบบ Attenuators ในทะเลทางตอนเหนือ
สเปนมีโครงการทดสอบและพัฒนาพลังงานคลื่นที่ชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศ โดยเฉพาะในแคว้นบาสก์และกาลิเซีย ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตพลังงานจากคลื่นทะเลสูง สเปนได้ทดลองใช้ระบบ OWC และ Attenuators ในหลายโครงการเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้า
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีแนวชายฝั่งยาวและประสบกับคลื่นทะเลแรง จึงมีการวิจัยและพัฒนาระบบพลังงานคลื่นอย่างต่อเนื่อง ญี่ปุ่นได้พัฒนาระบบพลังงานคลื่นในรูปแบบ OWC และ Point Absorber เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบกับคลื่นทะเลสูง เช่น บริเวณชายฝั่งของโอกินาว่า
ในสหรัฐอเมริกา การพัฒนาพลังงานคลื่นทะเลมีศักยภาพสูงโดยเฉพาะในรัฐที่มีแนวชายฝั่งยาว เช่น อลาสกาและฮาวาย โครงการที่มีชื่อเสียงได้แก่ "Pacific Marine Energy Center" ที่รัฐโอเรกอน ซึ่งทำการทดสอบพลังงานจากคลื่นทะเลในหลายระบบ รวมถึง Point Absorber และ OWC
แคนาดามีการทดลองและพัฒนาระบบพลังงานคลื่นในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะในรัฐโนวาสโกเชีย โครงการที่มีชื่อเสียงในแคนาดาคือโครงการทดสอบพลังงานคลื่นที่ Fundy Ocean Research Center for Energy (FORCE) ซึ่งเน้นการใช้พลังงานคลื่นในพื้นที่ที่มีกระแสน้ำและคลื่นทะเลแรง
หลายประเทศทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของพลังงานจากคลื่นทะเลและกำลังพัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้แต่ละประเทศจะพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับลักษณะของชายฝั่งและสภาพคลื่นทะเลในแต่ละพื้นที่