11 ตุลาคม 2567
Soft Power เป็นแนวคิดที่นำเสนอโดย Joseph S. Nye Jr. ในช่วงปี 1990s เพื่ออธิบายถึงความสามารถของประเทศในการดึงดูดผู้อื่นและส่งอิทธิพลผ่านวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรง เช่น วัฒนธรรม ค่านิยม และนโยบายต่างประเทศ ซึ่งต่างจาก Hard Power ที่อาศัยกำลังทางทหารหรือการบังคับทางเศรษฐกิจ เช่น การคว่ำบาตรหรือมาตรการทางการค้า
ในเชิงทฤษฎี Soft Power สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ อำนาจแบบอ่อน (Power of Attraction) เพื่อดึงดูดและสร้างความร่วมมือ มากกว่าการบังคับให้ทำตาม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เกิดผลกระทบในเชิงบวกต่อภาพลักษณ์และอิทธิพลของประเทศนั้น ๆ ในเวทีโลก
Soft Power Theory (Joseph S. Nye Jr.)
แหล่งที่มาของ Soft Power ตามแนวคิดของ Nye มี 3 ปัจจัยหลัก คือ:
วัฒนธรรม (Culture): เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ ศิลปะ ภาษา และประเพณีต่าง ๆ ที่สะท้อนตัวตนของประเทศและดึงดูดความสนใจ
ค่านิยมทางการเมือง (Political Values): เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม
นโยบายต่างประเทศ (Foreign Policies): นโยบายที่ส่งเสริมสันติภาพ ความร่วมมือ และการแก้ไขปัญหาทั่วโลก
Nye แยกแยะว่า Soft Power สามารถสร้างขึ้นผ่านการดึงดูด (Attraction) แทนที่จะบังคับ (Coercion) และชี้ให้เห็นว่าในโลกปัจจุบัน การใช้ Soft Power มีความสำคัญมากกว่า Hard Power เนื่องจากความซับซ้อนของการเมืองโลกที่ต้องอาศัยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ยั่งยืน
Cultural Diplomacy
คือการใช้วัฒนธรรมเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศ เช่น การส่งออกภาพยนตร์ ดนตรี หรืองานศิลปะเพื่อเป็นตัวแทนวัฒนธรรมของประเทศ
แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากการศึกษาเรื่องการทูต (Diplomacy) และการสร้างความสัมพันธ์แบบอ่อนโยน (Soft Relations) โดยใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นสื่อกลาง
Public Diplomacy
หมายถึง การส่งเสริมภาพลักษณ์และข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนของประเทศอื่น ๆ เช่น การแสดงออกผ่านสื่อ หรือการสนับสนุนความสัมพันธ์ระดับประชาชน (People-to-People Relations)
แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการสร้าง "แบรนด์ประเทศ" (Nation Branding) ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์บวกและเพิ่มความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในระยะยาว
Nation Branding (Simon Anholt)
ทฤษฎีการสร้างแบรนด์ระดับชาติ (Nation Branding) เป็นการนำแนวคิดการตลาดมาใช้เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเน้นการสร้างความประทับใจและดึงดูดผู้อื่นในแง่ของการท่องเที่ยว การค้า และการเมือง
Agenda-Setting Theory
แนวคิดที่ว่า Soft Power สามารถกำหนดวาระหรือประเด็นในการสนทนาได้ เช่น การจัดการประชุมหรือการเป็นเจ้าภาพงานระดับนานาชาติที่สร้างภาพลักษณ์ในแง่บวกให้กับประเทศ
เกาหลีใต้
ใช้ K-Pop, ซีรีส์เกาหลี (K-Drama), และวัฒนธรรมอาหารเกาหลีเป็นเครื่องมือในการดึงดูดความสนใจจากคนทั่วโลก จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Korean Wave” หรือ "Hallyu"
รัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์และซีรีส์ เช่น “Parasite” ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ซึ่งทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
ส่งผลต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าเกาหลี เช่น เครื่องสำอาง อาหาร และเทคโนโลยีต่าง ๆ
ญี่ปุ่น
ใช้การ์ตูน (Anime), เกม, และวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น วัดโบราณและพิธีชงชา เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความประทับใจในหมู่คนต่างชาติ
การใช้ Soft Power ของญี่ปุ่นมีผลทำให้คนทั่วโลกเริ่มสนใจเรียนภาษาญี่ปุ่น ศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่น และทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว
ประเทศไทย
ใช้ วัฒนธรรมการท่องเที่ยว, อาหารไทย, และ มวยไทย เป็นจุดแข็งในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
การสนับสนุนภาพยนตร์ไทยและงานศิลปะร่วมสมัย เช่น เทศกาลดนตรีและงานแสดงศิลปะร่วมสมัยในกรุงเทพฯ ส่งเสริมการสร้างความเข้าใจและความชื่นชมในวัฒนธรรมไทย
ความสามารถในการสร้างอิทธิพลผ่านการจัดงานระดับนานาชาติ เช่น การเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ASEAN และงานมวยไทยระดับโลก
สหรัฐอเมริกา
สหรัฐฯ ใช้ Soft Power ผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด, ดนตรี, วรรณกรรม และเทคโนโลยี โดยบริษัทอย่าง Apple, Google และ Facebook สะท้อนถึงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม
ส่งเสริมความคิดในเรื่องของเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยผ่านสื่อและองค์กรต่างประเทศ เช่น USAID หรือการให้ทุนสนับสนุนการศึกษา เช่น โครงการ Fulbright
สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน: การใช้ Soft Power ช่วยสร้างความร่วมมือทางการเมืองและเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน เนื่องจากเป็นการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความสมัครใจและการยอมรับซึ่งกันและกัน
ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประเทศ: ผ่านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการทูตทางศิลปะ ประเทศสามารถใช้ Soft Power เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ปรับภาพลักษณ์ในระดับสากล: การส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศผ่าน Soft Power จะช่วยสร้างความไว้วางใจในระดับนานาชาติ และทำให้ประเทศเป็นที่ชื่นชอบมากขึ้น
ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของผู้รับ: Soft Power มีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อผู้รับสารมีความชื่นชอบหรือยอมรับในวัฒนธรรมหรือค่านิยมของประเทศนั้น ๆ
ต้องใช้เวลาในการสร้างผลกระทบ: Soft Power ต้องอาศัยการสะสมทางวัฒนธรรมและการสร้างภาพลักษณ์ในระยะยาว
Soft Power เป็นแนวคิดสำคัญในยุคโลกาภิวัตน์ที่ประเทศต่าง ๆ พยายามนำมาใช้เพื่อสร้างอิทธิพลและดึงดูดผู้อื่นโดยไม่ต้องพึ่งพาการใช้กำลังหรือการบังคับ Soft Power ทำให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนและส่งเสริมความเข้าใจในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบัน
กฎ กติกา ข้อบังคับ
1. สนทนาด้วยความสุภาพ มิตรภาพ และสร้างสรรค์
2. กระดาน Soft Power เพื่อการสนทนาเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น