12 พฤศจิกายน 2567 (ปรับปรุง 21 กรกฎาคม 2568)
พระราชประวัติของพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 10 พระองค์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์:
Phrabat Somdet Phra Paramoruracha Maha Chakri Borommanat Phra Buddha Yodfa Chulaloke (Rama I)
– ราชินี : สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี : Somdet Phra Amarindra Boromarajini
พระนามเดิม: ทองด้วง
พระนามเมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าพระยา: เจ้าพระยาจักรี
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) มีความสำคัญยิ่งต่อการวางรากฐานราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์ ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง ศาสนา และวัฒนธรรม ดังนี้:
ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังฝั่งพระนคร
ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 2325
สร้างพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
จัดระเบียบการปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาคใหม่
จัดตั้ง "ศาลหลวง" และระบบกฎหมายขึ้นใหม่
โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเดิมในสมัยอยุธยา
รวบรวมเป็น กฎหมายตราสามดวง ซึ่งใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองต่อมา
อุปถัมภ์คณะสงฆ์ ฟื้นฟูวัดวาอารามทั่วราชอาณาจักร
ทรงรวบรวม พระไตรปิฎก และปรับปรุงการศึกษาพระธรรมวินัย
ทรงฟื้นฟูศิลปวรรณกรรม เช่น การแสดงโขน ละคร
โปรดเกล้าฯ ให้แต่ง รามเกียรติ์ ฉบับหลวง
ทรงฟื้นฟูวรรณกรรมเก่า เช่น สามก๊ก และอิเหนา
ทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์เองหลายครั้ง
ปราบศึกพม่าหลายครั้ง เช่น สงครามเก้าทัพ (พ.ศ. 2328)
รักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรในยุคเริ่มต้น
ด้าน พระราชกรณียกิจ
การเมือง/ปกครอง สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์, ปรับปรุงระบบการปกครอง
กฎหมาย ชำระกฎหมาย, ตรากฎหมายตราสามดวง
ศาสนา ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา, อุปถัมภ์คณะสงฆ์
วัฒนธรรม ฟื้นฟูวรรณกรรม, โขน ละคร, แต่งรามเกียรติ์
การทหาร ป้องกันประเทศ, รบกับพม่า, สงครามเก้าทัพ
– พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
– Phrabat Somdet Phra Boromratchapongchet Mahetsawarasunthon Phra Buddha Loetla Nabhalai (Rama II)
– ราชินี : สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี : Somdet Phra Sri Suriyendra Boromarajini
ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) และ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลายด้านที่ส่งผลต่อวัฒนธรรม ความมั่นคง และความรุ่งเรืองของชาติไทยในยุคนั้น โดยสามารถสรุปได้ดังนี้:
พระองค์ทรงเป็นกวีเอก และทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง
ทรงนิพนธ์วรรณกรรมสำคัญ เช่น
รามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ 2 (เรียบเรียงใหม่ให้สมบูรณ์)
อิเหนา, ดาหลัง, สังข์ทอง, อุณรุท
ทรงส่งเสริมกวีในราชสำนัก เช่น พระมหามนตรี (แย้ม), สุนทรภู่
ยุคนี้ถือเป็น “ยุคทองแห่งวรรณคดีรัตนโกสินทร์”
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ จัดระเบียบราชสำนักใหม่ ให้เข้มแข็ง
ซ่อมแซมวัดวาอาราม ที่ชำรุดทรุดโทรม เช่น
วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)
วัดอรุณราชวราราม
สนับสนุนการสร้างวัดและสถาปัตยกรรมในแบบรัตนโกสินทร์
ทรง ดูแลป้องกันชายแดน แม้ในรัชสมัยจะไม่เกิดสงครามใหญ่
มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีนและชาติตะวันตกบางประเทศ
ทรงอุปถัมภ์ พระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง
สนับสนุนการ แต่งพระไตรปิฎก และแปลคัมภีร์บาลี
โปรดให้ สังคายนาพระธรรมวินัย และฟื้นฟูพระราชพิธีต่าง ๆ
รัชกาลที่ 2 เป็นกษัตริย์ที่ทรงเสริมสร้างความเจริญด้าน วรรณกรรม ศิลปะ และพระศาสนา เป็นหลัก พร้อมกับดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมโดยแท้
– พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาเจษฎาบดินทร์ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
– พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐมหาเจษฎาบดินทร พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
– Phrabat Somdet Phra Paramathiworaset Maha Jessadabodindra Phra Nangklao Chao Yu Hua (Rama III)
เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในราชวงศ์จักรีที่ มิได้ทรงสถาปนาพระราชินี อย่างเป็นทางการตลอดรัชกาล
พระองค์เป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) กับ เจ้าจอมมารดาเรียม และทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2367–2394 รวม 27 ปี
ส่งเสริมการค้าเสรี โดยเฉพาะกับชาติตะวันตกและจีน ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง
ทรงปรับปรุงระเบียบราชการ โดยจัดแบ่งหน้าที่ชัดเจนระหว่างกรมต่าง ๆ
ตั้งกรมพระคลังสินค้า เพื่อดูแลกิจการค้าขายกับต่างประเทศโดยตรง
ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดทั่วประเทศกว่า 50 วัด เช่น วัดโพธิ์ วัดสุทัศน์ รวมถึงการสร้างวัดราชโอรสารามและวัดเฉลิมพระเกียรติ
สร้างวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ให้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย
ส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนา และรวบรวมคัมภีร์ทางศาสนาให้เป็นหมวดหมู่
จารึกบทสอนและตำราต่าง ๆ บนแผ่นหินอ่อน รอบวัดโพธิ์ ซึ่งยูเนสโกยกย่องเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World)
มีบทบาทสำคัญในการรักษาเอกราชไทย ท่ามกลางแรงกดดันจากตะวันตก
ทำสัญญาทางการค้ากับหลายประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา
ระมัดระวังในการติดต่อกับต่างชาติ เพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ
ทำสงครามกับญวนและเขมร เพื่อรักษาอิทธิพลในแถบอินโดจีน
เสริมสร้างกำลังทหารและป้อมปราการ โดยเฉพาะในพื้นที่ปากน้ำและเมืองชายทะเล
ทรงเป็น “เจ้าสัวหลวง” เพราะทรงประกอบกิจการค้าขายด้วยพระองค์เอง
รายได้แผ่นดินส่วนมากมาจากการค้าสำเภา
สร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยไม่ต้องพึ่งพาภาษีประชาชนมาก
"เงินถุงแดง" ในรัชกาลที่ 3 เป็นเรื่องเล่าที่สะท้อนถึงพระปรีชาสามารถและความใฝ่รู้ใฝ่สร้างของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โดยมีใจความสำคัญดังนี้:
เป็น ถุงเงินที่ห่อด้วยผ้าแดง ซึ่งพระองค์ทรงเก็บสะสมไว้เป็นทุนสำรองของแผ่นดิน
ภายในบรรจุจดหมายแสดงเจตนารมณ์ว่า
"เงินถุงแดงนี้ให้เก็บไว้ใช้ในยามบ้านเมืองมีภัยหรือเกิดศึกสงครามใหญ่"
รัชกาลที่ 3 ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล เห็นความสำคัญของการเตรียมความพร้อมทางเศรษฐกิจ
พระองค์มิได้เน้นสร้างพระราชวังหรือสิ่งฟุ้งเฟ้อ แต่ทรงส่งเสริมการค้า โดยเฉพาะการค้ากับจีน
รายได้จากการค้าถูกเก็บออมไว้ในลักษณะ "เงินถุงแดง" หลายถุง ประมาณว่า มากกว่า 40,000 ชั่ง (เท่ากับประมาณ 3 ล้านบาทในสมัยนั้น ซึ่งถือว่ามหาศาล)
เมื่อถึงสมัย รัชกาลที่ 5 ประเทศไทยต้องเผชิญกับภาระการจ่ายค่าปรับและการทำสัญญาระหว่างประเทศ
เงินถุงแดงนี้ ถูกนำมาใช้เพื่อไถ่ถอนภาระผูกพันต่างประเทศ และใช้ในราชการสำคัญหลายอย่าง
นับเป็นหลักฐานแห่ง สายพระเนตรยาวไกล และความรอบคอบในการบริหารราชการของรัชกาลที่ 3
เงินถุงแดงจึงกลายเป็น สัญลักษณ์แห่งความประหยัด มัธยัสถ์ และการวางแผนระยะยาว
สะท้อนพระราชปณิธานว่า
“แม้พระองค์จะไม่เห็นผลในยุคสมัยตน แต่ขอให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสใช้ประโยชน์”
– พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
– Phrabat Somdet Phra Paramenthra Maha Mongkut Phra Chom Klao Chao Yu Hua (Rama IV)
– ราชินี : สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี : Somdet Phra Debsirindra Boromarajini
สมเด็จพระปรมาภิไธย
"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
พระนามเต็ม ตามพระราชหัตถเลขา คือ:
"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการนำพาประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์สามารถสรุปได้ดังนี้:
เริ่มปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินแบบสมัยใหม่
ทรงตั้งกระทรวงขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง เพื่อให้ราชการมีระบบระเบียบ
จัดตั้งศาลระบบใหม่
ทรงจัดตั้งศาลขึ้นแยกจากระบบเจ้าและขุนนาง เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ราษฎรอย่างเท่าเทียม
ลงนามใน “สนธิสัญญาเบาว์ริง” กับอังกฤษ (พ.ศ. 2398)
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดประเทศสู่การค้ากับตะวันตก ลดการผูกขาดการค้า และป้องกันภัยจากการล่าอาณานิคม
สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาติตะวันตก
เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก โปรตุเกส ฯลฯ
มีการส่งคณะทูตไปยังต่างประเทศ
ทรงสนพระทัยวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์
ทรงคำนวณเวลาจันทรุปราคาได้อย่างแม่นยำ จนได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศ
ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” เนื่องจากพระปรีชาด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตะวันตก
จัดตั้งหอดูดาวส่วนพระองค์ที่ “วัดราชาธิวาส”
ตั้ง “ธรรมยุติกนิกาย”
เป็นการปฏิรูปพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น โดยเน้นความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย
ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและพุทธศิลป์
บูรณะวัดหลายแห่ง เช่น วัดราชประดิษฐ์ฯ
ฟื้นฟูวรรณคดี พงศาวดาร และโบราณคดี
เปิดประเทศและรับเทคโนโลยีตะวันตก
เช่น วิทยาการแพทย์ การพิมพ์ ระบบไปรษณีย์ และการสื่อสาร
ส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษและวิชาการตะวันตก
เพื่อให้ทันสมัยและสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้
– พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
– Phrabat Somdet Phra Paraminthra Maha Chulalongkorn Phra Chulachomklao Chao Yu Hua (Rama V)
– ราชินี : สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) Somdet Phra Nangchao Saovabha Phongsri Phra Boromarajininat
พระนามเต็มของ รัชกาลที่ 5 คือ:
สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นผู้ทรงวางรากฐานการปฏิรูปประเทศเข้าสู่ความทันสมัยในหลายด้าน เช่น การเลิกทาส การศึกษา การปกครอง และการคมนาคม จนได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า "พระปิยมหาราช" ซึ่งหมายถึง “พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงริเริ่มการปฏิรูปประเทศในหลายด้านเพื่อนำพาประเทศไทยเข้าสู่ความทันสมัยและรักษาเอกราชจากมหาอำนาจตะวันตกได้อย่างสง่างาม พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ ได้แก่:
ทรงประกาศ พระราชบัญญัติเลิกทาส โดยค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนทั้งฝ่ายนายและฝ่ายทาส
ในที่สุดสามารถยกเลิกระบบทาสได้สำเร็จโดยไม่เกิดสงครามกลางเมือง
จัดตั้ง ระบบกระทรวงทบวงกรม แบบสมัยใหม่ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ฯลฯ
ตั้ง “เทศาภิบาล” เพื่อดูแลปกครองหัวเมืองต่างจังหวัดแทนระบบเจ้าผู้ครองนครเดิม
สร้าง ทางรถไฟสายแรก จากกรุงเทพฯ ไปอยุธยา (พ.ศ. 2433) และขยายเครือข่ายทั่วประเทศ
สร้าง ถนนหนทาง คลอง สะพาน โทรเลข ไปรษณีย์ และไฟฟ้า
จัดตั้ง โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลแห่งแรกของไทย
จัดตั้ง โรงเรียนหลวง และ วางรากฐานการศึกษาสมัยใหม่ เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนราชวิทยาลัย
ส่งนักเรียนไทยไป ศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อกลับมาพัฒนาชาติ
ทรง ใช้การทูตอย่างชาญฉลาด เจรจาต่อรองกับอังกฤษและฝรั่งเศสไม่ให้ไทยตกเป็นอาณานิคม
แม้ต้องเสียพื้นที่บางส่วน (เช่น ลาว เขมรบางส่วน) แต่สามารถรักษา “สยาม” ให้คงความเป็นเอกราชไว้ได้
เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง เพื่อ แสดงไมตรีจิตและสร้างสัมพันธไมตรีกับชาติมหาอำนาจ
นำแนวคิดการพัฒนาแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย
– พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
– Phrabat Somdet Phra Paramenthra Maha Vajiravudh Phra Mongkut Klao Chao Yu Hua (Rama VI)
– ราชินี : สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี – Somdet Phra Nangchao Indrasakdi Sachi Phra Boromarajini
พระนามเต็มของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) คือ:
"สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า"
หรือหากกล่าวอย่างเต็มยศในเชิงพิธีการ:
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว"
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2453–2468 มีหลากหลายด้าน ครอบคลุมทั้งการเมือง การศึกษา วัฒนธรรม และความมั่นคงของชาติ โดยสามารถสรุปได้ดังนี้:
ตั้งคณะเสือป่า (พ.ศ. 2454): เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชาชนในการป้องกันประเทศ และส่งเสริมความรักชาติ
ตั้งกองลูกเสือไทย (พ.ศ. 2454): ส่งเสริมระเบียบวินัย ความเสียสละ และความรักชาติในเยาวชน
เปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" (ใช้ในทางวรรณกรรมก่อน และมีอิทธิพลจนกลายเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 8)
จัดระเบียบการปกครองราชการ: แยกอำนาจตุลาการออกจากฝ่ายบริหาร และวางระบบราชการสมัยใหม่
ก่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2459): มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย
ส่งเสริมวรรณคดีไทยและตะวันตก: ทรงพระราชนิพนธ์บทละครและวรรณกรรมจำนวนมาก เช่น มัทนะพาธา, พระร่วง, เวนิสวาณิช
ก่อตั้ง "ดุสิตธานี" เมืองจำลองประชาธิปไตย: เพื่อทดลองและปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตยในหมู่ข้าราชบริพาร
ประกาศสงครามเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2460): ส่งผลให้สยามเป็นหนึ่งในผู้ชนะสงคราม ได้รับเกียรติในเวทีโลก
จัดการฝึกและปรับปรุงกองทัพ: พัฒนาโรงเรียนนายร้อย และกองทัพให้มีความทันสมัยมากขึ้น
ยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับชาติตะวันตก: เช่น การยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาวต่างชาติ
ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: โดยส่งทูตไปต่างประเทศ และรับราชทูตชาติตะวันตก
ก่อตั้งธนาคารชาติสยาม (พ.ศ. 2460): เพื่อรองรับระบบการเงินการคลังของประเทศ
ส่งเสริมกิจการอุตสาหกรรมและการค้าสมัยใหม่
– พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
– Phrabat Somdet Phra Paraminthra Maha Prajadhipok Phra Pok Klao Chao Yu Hua (Rama VII)
– ราชินี : สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี บรมราชินี (Somdet Phra Nangchao Rambai Barni Phra Boromarajini)
พระนามเต็มของ รัชกาลที่ 7 (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) คือ:
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว"
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นกษัตริย์พระองค์แรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช 2475 ที่ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย.
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2468–2477 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทย ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง และสังคม พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์สามารถสรุปได้ดังนี้:
แม้จะมิได้ทรงริเริ่มเอง แต่พระองค์มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ ระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
ทรงมีพระราชดำริว่า “ข้าพเจ้าขอสละอำนาจโดยสิ้นเชิง” แสดงถึงพระราชวินิจฉัยอย่างสงบและเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ
ทรงร่วมมือกับคณะราษฎรในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
เป็นจุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
จัดตั้ง โรงเรียนฝึกหัดครูประถม และพัฒนาโรงเรียนในภูมิภาค
ส่งเสริมการศึกษาแบบตะวันตกและการศึกษาวิชาชีพ
สนับสนุนการสร้างถนน และ การไฟฟ้าในต่างจังหวัด
ทรงสนับสนุนการแสดงละคร ดนตรี และภาพยนตร์ โดยเฉพาะ ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม
โปรดให้จัดแสดง มหรสพสมโภช ในโอกาสสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ทรงมีพระราชดำริให้ลดการใช้จ่ายของรัฐ ลดภาษีในบางประเภท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (The Great Depression)
เริ่มมีการใช้ งบประมาณแบบสมดุล
ทรงพระราชนิพนธ์บทความ เช่น
“สมุดปกเหลือง” ที่แสดงทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตยไทย
และเสนอแนวทางพัฒนาการเมืองให้มั่นคง
ทรงสละราชสมบัติอย่างสง่างาม โดยให้เหตุผลว่า ไม่สามารถทรงงานร่วมกับรัฐบาลในระบบใหม่ได้
เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวของไทยที่ สละราชสมบัติอย่างเป็นทางการ
– พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ
– Phrabat Somdet Phra Paramenthra Maha Ananda Mahidol (Rama VIII)
พระนามเต็มของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร คือ:
"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร"
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2477–2489 และเป็นพระเชษฐาของรัชกาลที่ 9 (ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2477–2489 แม้จะครองราชย์ในช่วงเวลาสั้นและยังทรงพระเยาว์ อีกทั้งใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายประการ ดังนี้:
การศึกษาของพระองค์
ทรงศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในราชวงศ์จักรีที่ประสูติและเติบโตในต่างประเทศ
เสด็จนิวัติประเทศไทย
พ.ศ. 2481 เสด็จกลับมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลังขึ้นครองราชย์ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชน
เสด็จฯ เยือนต่างประเทศ
ระหว่างที่ยังทรงศึกษาอยู่ ได้เสด็จฯ เยือนประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งช่วยส่งเสริมพระบารมีในระดับนานาชาติ
เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประชาชน
ในช่วง พ.ศ. 2488–2489 เสด็จนิวัติประเทศไทย ทรงออกเยี่ยมประชาชนในหลายพื้นที่ เช่น พระนคร นครปฐม พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่เยาวชนและประชาชน
การส่งเสริมรัฐธรรมนูญ
แม้จะยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ และเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
พระบรมราโชวาทและคุณธรรม
ทรงมีพระราชหัตถเลขาและพระราชดำรัสที่แสดงถึงความตั้งพระทัยจะทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ที่พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง ซึ่งยังคงเป็นปริศนาและมีการสืบสวนในเวลาต่อมา
– พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ บรมนาถบพิตร
– Phrabat Somdet Phra Paraminthra Maha Bhumibol Adulyadej (Rama IX)
– ราชินี : สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติติ์พระบรมราชินีนาถ – Somdet Phra Nangchao Sirikit Phra Boromarajininat
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญและหลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา การศึกษา และศิลปวัฒนธรรม โดยสรุปพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์มีดังนี้:
1. การพัฒนาและเศรษฐกิจพอเพียง
- ทรงริเริ่ม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
- ทรงส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ แก้ปัญหาความยากจนและความแห้งแล้งในชนบท
2. โครงการในพระราชดำริ
- มีโครงการในพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ เช่น ฝนหลวง, แก้มลิง, แหล่งน้ำชุมชน, เขื่อนและฝาย, พัฒนาป่าเสื่อมโทรม
- มุ่งแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประชาชน ทั้งน้ำ การเกษตร สิ่งแวดล้อม
3. การแพทย์และสาธารณสุข
- ส่งเสริมการสร้างโรงพยาบาล, หน่วยแพทย์พระราชทาน, และโครงการแพทย์อาสา
- ทรงส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบัน
4. การศึกษา
- ส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการ และการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
- พระราชทานทุนการศึกษาและจัดตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาหลายแห่ง
5. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- ทรงศึกษาค้นคว้าและประดิษฐ์ เช่น อุปกรณ์กรองน้ำแบบพกพา, กังหันน้ำชัยพัฒนา
- สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน
6. ด้านศิลปวัฒนธรรม
- ทรงเป็นนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียง โดยทรงแต่งเพลงกว่า 40 บท
- ทรงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น การช่างฝีมือ พระราชพิธีโบราณ
7. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- ทรงเสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ ก่อให้เกิดมิตรภาพระหว่างประเทศ
- ทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชนทั้งในและต่างประเทศ
รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และเป็นที่เคารพรักของพสกนิกรทั่วประเทศ
– พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
– Phrabat Somdet Phra Paramenthra Ramathibodhi Srisindra Maha Vajiralongkorn Phra Vajira Klao Chao Yu Hua (Rama X)
– หรือ “His Majesty King Maha Vajiralongkorn Bodindradebayavarangkun”
– ราชินี : สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาพระบรมราชินี – Somdet Phra Nangchao Suthida Phra Boromarajini
– หรือ “Her Majesty Queen Suthida Bajarasudha Bimollaksana”
พระนามเต็มของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) คือ:
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร"
"วชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร"
แปลความหมายโดยรวมว่า
“ผู้ประดับด้วยเพชรอันเป็นมหาอำนาจ เป็นใหญ่ด้วยคุณธรรม ประเสริฐดุจเทพเจ้าแห่งราชวงศ์”
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) แห่งราชวงศ์จักรี มีหลากหลายด้าน ครอบคลุมทั้งงานด้านศาสนา สังคม การศึกษา การแพทย์ และการพัฒนาประเทศ โดยสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานของรัชกาลก่อน ๆ โดยสามารถสรุปพระราชกรณียกิจที่สำคัญได้ดังนี้:
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ทรงสืบสานและต่อยอดโครงการต่าง ๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เช่น โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียง การบริหารจัดการน้ำ ฯลฯ
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ / มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์: สนับสนุนการศึกษา การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และผู้ยากไร้ทั่วประเทศ
พระราชทานความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ: เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และโควิด-19 โดยพระราชทานสิ่งของ อุปกรณ์แพทย์ และทรัพยากรต่าง ๆ
โครงการ “จิตอาสาพระราชทาน”: ส่งเสริมให้ประชาชนมีจิตสำนึกในการทำความดีเพื่อส่วนรวม ภายใต้คำขวัญ “เราทำความดีด้วยหัวใจ”
ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา: ทั้งในด้านการบูรณปฏิสังขรณ์วัดสำคัญ การพระราชทานสมณศักดิ์ และการส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนา
ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย: ทรงอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี และสนับสนุนงานพระราชพิธีสำคัญ
สนับสนุนโรงพยาบาลในพระบรมราชูปถัมภ์: เช่น โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
พระราชทานเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์: โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19
พระราชทานทุนการศึกษา: แก่เยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์
ส่งเสริมการศึกษาทางไกล: และเทคโนโลยีการศึกษา รวมถึงโรงเรียนจิตรลดาที่ทรงมีบทบาทแต่เยาว์วัย
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก (พ.ศ. 2562): เป็นพิธีสำคัญที่สะท้อนถึงพระราชอำนาจและบทบาทในฐานะประมุขของรัฐ
ทรงต้อนรับและเสด็จเยือนราชอาณาจักรต่าง ๆ: เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูต
แผนผังการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ไทย ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ราชวงศ์จักรี) โดยเริ่มจากรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 10:
1. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1)
└── รัชกาลที่ 2: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พระราชโอรส)
└── รัชกาลที่ 3: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชโอรส แต่ไม่ใช่ราชินี)
└── รัชกาลที่ 4: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระโอรสของรัชกาลที่ 2)
└── รัชกาลที่ 5: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชโอรส)
├── รัชกาลที่ 6: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชโอรส)
└── รัชกาลที่ 7: พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระอนุชา)
(เปลี่ยนสายราชวงศ์ไปยังราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงเทววงศ์วโรปการ - พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4)
└── สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
└── พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายมหิดลอดุลเดช
└── รัชกาลที่ 8: พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (พระราชโอรส)
└── รัชกาลที่ 9: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
└── รัชกาลที่ 10: พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชโอรส)
ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานคร (ชื่อทางการในภาษาไทย) คือ:
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์
อุดมราชนิเวศมหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์
ซึ่งมีความหมายโดยสรุปว่า:
"เมืองของเทพผู้ยิ่งใหญ่ (กรุงเทพมหานคร) เป็นเมืองอมร (อมรรัตนโกสินทร์) อันเป็นที่ประดิษฐานของเทพยดา, เป็นนครอันมั่นคงดุจเมืองพระอินทร์, เป็นเมืองที่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ครอบครอง, เป็นมหานครที่รุ่งเรืองดุจนพรัตน์..."
(และยังกล่าวถึงการเป็นพระนครที่พระอินทร์สร้างขึ้นโดยอำนาจแห่งพระวิษณุกรรม)
ชื่อนี้ถูกบันทึกใน กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด ว่าเป็น ชื่อเมืองที่ยาวที่สุดในโลก อีกด้วย
พระราชพิธีสมมงคลพระชานมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นพระราชพิธีที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และราชประเพณีของไทย โดยพิธีนี้จัดขึ้นเมื่อพระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ไทยมีพระชานมายุเท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์จักรีและก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์
การจัดพระราชพิธีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชิดชูและแสดงความเคารพในพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับพระราชโอรสหรือพระราชธิดาในโอกาสนี้ พระราชพิธีประกอบด้วยการทำบุญและการบำเพ็ญกุศลที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และมีการประกอบพิธีตามประเพณีโบราณ โดยการบูชาองค์พระพุทธรูปและพระสงฆ์
ในเชิงสัญลักษณ์ พิธีนี้สะท้อนถึงความเชื่อที่ว่าพระราชโอรสหรือพระราชธิดาที่มีพระชานมายุเท่าพระมหากษัตริย์จะได้รับพรและความเป็นมงคล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้พระองค์มีความเจริญรุ่งเรืองในการปกครองและชีวิตในอนาคต
พระราชพิธีสมมงคลพระชานมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถือเป็นพิธีที่สะท้อนถึงการสืบทอดราชประเพณีและความเคารพในพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชประวัติสำคัญในราชวงศ์จักรี
การพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2508
การพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2528
การพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534
การพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2568