4 กรกฎาคม 2568
อานาปานสติ (Ānāpānasati) คือ การเจริญสติด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติรู้ตัวชัดเจน เป็นกรรมฐานหลักสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำและใช้เป็นวิธีหลักในการบรรลุธรรม โดยปรากฏอยู่ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อานาปานสติสูตร” (พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)
อานะ (อัสสาสะ) หมายถึง การหายใจเข้า
อาปานะ (ปัสสาสะ) หมายถึง การหายใจออก
สติ หมายถึง ความระลึกรู้ ความตื่นรู้ การมีสติสัมปชัญญะ
ดังนั้น อานาปานสติ คือ การตั้งสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนยโดยไม่ขาดสาย
หลักสำคัญของอานาปานสติ คือ ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือหรือฐานในการฝึกจิตให้สงบ มีสมาธิแนบแน่น รู้เห็นตามความเป็นจริง (วิปัสสนา) เพื่อบรรลุเป้าหมายในการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง (นิพพาน)
เป้าหมายสำคัญมี 3 ระดับ คือ:
ระดับของเป้าหมาย รายละเอียด
ระดับต้น เพื่อทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ ลดฟุ้งซ่าน ลดความเครียด
ระดับกลาง เพื่อทำให้เกิดปัญญา เห็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
ระดับสูงสุด เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ 16 ขั้นตอน แบ่งเป็น 4 หมวดใหญ่ๆ คือ:
ขั้นที่ 1: รู้ชัดว่ากำลังหายใจเข้ายาว หรือออกยาว
ขั้นที่ 2: รู้ชัดว่ากำลังหายใจเข้าสั้น หรือออกสั้น
ขั้นที่ 3: กำหนดรู้ชัดถึงการเคลื่อนไหวของลมหายใจที่ละเอียดขึ้น
ขั้นที่ 4: ฝึกการทำให้ลมหายใจและร่างกายสงบละเอียดมากขึ้น
ขั้นที่ 5: รู้สึกตัวทั่วถึงในปีติ (ความอิ่มเอิบใจ) ที่เกิดขึ้นจากสมาธิ
ขั้นที่ 6: รู้ชัดถึงสุขที่เกิดจากสมาธิ
ขั้นที่ 7: รู้ชัดถึงเวทนา (ความรู้สึกต่างๆ) ที่ละเอียดลง
ขั้นที่ 8: ฝึกให้เวทนาและความรู้สึกสงบละเอียดขึ้นไปอีก
ขั้นที่ 9: กำหนดรู้ชัดถึงสภาวะจิตในขณะที่มีความคิดต่างๆ
ขั้นที่ 10: กำหนดรู้ชัดว่าจิตเบิกบาน หรือเศร้าหมอง
ขั้นที่ 11: ฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิมากขึ้น
ขั้นที่ 12: ฝึกปล่อยวางและทำจิตให้หลุดพ้นจากสิ่งรบกวน
ขั้นที่ 13: กำหนดรู้ชัดถึงความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ของสรรพสิ่ง
ขั้นที่ 14: กำหนดรู้ชัดถึงการคลายกำหนัด คลายความยึดมั่นถือมั่น
ขั้นที่ 15: กำหนดรู้ชัดถึงการดับทุกข์ ดับอุปาทาน
ขั้นที่ 16: ฝึกจิตให้ปล่อยวางทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์เพื่อบรรลุนิพพาน
โดยปกติ ในการเริ่มต้น ผู้ปฏิบัติอาจเริ่มที่ ขั้นที่ 1-4 ก่อนเพื่อให้จิตมีสมาธิ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วจึงขยับไปในขั้นที่ละเอียดขึ้นได้
การฝึกอานาปานสติเบื้องต้นทั่วไปทำได้โดย:
ท่านั่งสมาธิที่เหมาะสม
นั่งขัดสมาธิ หลังตรง ศีรษะตั้งตรง ดวงตาหลับเบาๆ มือขวาทับมือซ้าย
ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย
การกำหนดจุดสังเกตลมหายใจ
จุดสังเกตที่นิยมคือบริเวณปลายจมูก หรือริมฝีปากบน
รู้ตัวตลอดขณะลมหายใจเข้า-ออก โดยไม่พยายามบังคับลมหายใจ
การฝึกสติและสัมปชัญญะ
มีสติตามรู้ลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต
เมื่อเผลอไปคิดเรื่องอื่น ให้รู้ตัวและกลับมาอยู่กับลมหายใจอย่างอ่อนโยน ไม่ตำหนิตัวเอง
การกำหนดลมหายใจให้ละเอียดขึ้น
เมื่อจิตสงบแล้ว จะสังเกตเห็นลมหายใจละเอียดและแผ่วเบาขึ้นเรื่อยๆ
อยู่กับลมหายใจละเอียดนั้นจนจิตนิ่ง สงบ เป็นสมาธิขั้นสูงขึ้น
ประโยชน์ทางกาย ประโยชน์ทางใจ ประโยชน์ทางปัญญา
สุขภาพดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น จิตใจสงบ สบาย ผ่อนคลาย เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์
ลดความเครียด ลดความดันโลหิต ลดอารมณ์โกรธ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน คลายทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่น
ระบบประสาททำงานดีขึ้น ลดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล มีสติเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน
อานาปานสติ คือ วิธีปฏิบัติที่ทรงพลังและเรียบง่าย สามารถปฏิบัติได้ทุกคน ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือในการเจริญสติ สมาธิ และปัญญา เป็นทางสายกลางที่พาพ้นทุกข์ได้ตามแนวทางแห่งพุทธธรรมอย่างแท้จริง
(ควรท่องจำ)
(๑) เมื่อลมหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
เมื่อลมหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
(๒) เมื่อลมหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
เมื่อลมหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น
(๓) สำเหนียกว่า จะรู้ชัดกองลมทั้งปวง หายใจออก
สำเหนียกว่า จะรู้ชัดกองลมทั้งปวง หายใจเข้า
(๔) สำเหนียกว่า จะระงับกายสังขาร หายใจออก
สำเหนียกว่า จะระงับกายสังขาร หายใจเข้า
(๕) สำเหนียกว่า จะรู้ชัดปีติ หายใจออก
สำเหนียกว่า จะรู้ชัดปีติ หายใจเข้า
(๖) สำเหนียกว่า จะรู้ชัดสุข หายใจออก
สำเหนียกว่า จะรู้ชัดสุข หายใจเข้า
(๗) สำเหนียกว่า จะรู้ชัดจิตสังขาร หายใจออก
สำเหนียกว่า จะรู้ชัดจิตสังขาร หายใจเข้า
(๘) สำเหนียกว่า จะระงับจิตตสังขาร หายใจออก
สำเหนียกว่า จะระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า
(๙) สำเหนียกว่า จะรู้ชัดจิต หายใจออก
สำเหนียกว่า จะรู้ชัดจิต หายใจเข้า
(๑๐) สำเหนียกว่า จะตั้งจิตให้เป็นไฉน หายใจออก
สำเหนียกว่า จะตั้งจิตให้เป็นไฉน หายใจเข้า
(๑๑) สำเหนียกว่า จะตั้งจิตมั่น หายใจออก
สำเหนียกว่า จะตั้งจิตมั่น หายใจเข้า
(๑๒) สำเหนียกว่า จะเปลื้องจิต หายใจออก
สำเหนียกว่า จะเปลื้องจิต หายใจเข้า
(๑๓) สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจออก
สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจเข้า
(๑๔) สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก
สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจเข้า
(๑๕) สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก
สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นความดับไป หายใจเข้า
(๑๖) สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นความสละติดเสียได้ หายใจออก
สำเหนียกว่า จะพิจารณาเห็นความสลัดเสียได้ หายใจเข้า
*พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย มหาวรรค วิกิรณ์ ภาค ๑ ข้อ ๑๖๓ หน้า ๑๓๓*
ขันธ์ 5 – รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (เห็นตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่ของเรา)
ธาตุ 5 – ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ (ฝึกภาวนาให้ใจเสมอกับธรรมชาติ)
ภาวนา 6 – เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อสุภะ อนิจจสัญญา (ละอารมณ์ร้าย)
อานาปานสติ 16 ขั้น – ฝึกตามลมหายใจ นำสู่การรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต และธรรม
ความเพียรและการประพฤติธรรม – ปรับอินทรีย์ หมั่นฝึกสมาธิ เจริญสติ ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ
กายานุปัสสนา: รู้ลมหายใจยาว/สั้น, รู้ลมทั่วกาย, ระงับกายสังขาร
เวทนานุปัสสนา: รู้ปีติ สุข จิตสังขาร, ระงับจิตสังขาร
จิตตานุปัสสนา: รู้จิต ทำจิตให้บันเทิง มั่นคง และบริสุทธิ์
ธรรมานุปัสสนา: เห็นความไม่เที่ยง คลาย ดับ สลัดคืน
พิจารณา ขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง
ปรับจิตใจให้ เหมือนธาตุทั้ง 5: ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งต่างๆ
เจริญ เมตตาภาวนาและธรรมภาวนา เพื่อขจัดกิเลส
เดินจงกรมและนั่งสมาธิ เพื่อชำระจิตใจ
ปรับอินทรีย์ ให้พอดี: ไม่ตึงเกิน ไม่หย่อนเกิน
ตั้งตนอยู่ใน สติสัมปชัญญะ และปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ
การปฏิญญาว่า "เป็นสมณะ" คือ สมาทานปฏิบัติตามธรรม
มีผลต่อเมื่อ ลงมือปฏิบัติจริง เท่านั้น ไม่ใช่แค่ชื่อเรียก
หิริ = ความละอายต่อบาป
โอตตัปปะ = ความเกรงกลัวต่อบาป
เป็นธรรมฝ่ายขาว (สกุกธรรม)
ถ้าไม่มี หิริ-โอตตัปปะ โลกจะเสื่อม เช่น ไม่รู้จักเคารพกัน
เป็นผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ล่วงละเมิดศีล
รัก เคารพพระศาสดา ใฝ่รู้ธรรม
ได้ชื่อว่า “ผู้มีเทวธรรมในโลก”
พระโสณะ: เคยเกียจคร้าน → เกิดหิริ → เพียร → บรรลุอรหันต์
ชฎิลอุรุเวลกัสสปะ: เมื่อรู้ตนยังไม่เป็นพระอรหันต์ → สลดใจ → ขออุปสมบท
สติ: ระลึกถึงสิ่งที่ทำและพูดได้
ปัญญา: เห็นความเกิด-ดับของสิ่งทั้งหลาย → ชำแรกกิเลส
ธรรม 5 ประการที่เจริญควบคู่กับลมหายใจ:
ตั้งสติในกาย (ลมหายใจ)
พิจารณาความไม่งามของร่างกาย
พิจารณาความปฏิกูลของอาหาร
พิจารณาไม่เพลิดเพลินในโลก
พิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร
สติและหิริโอตตัปปะ → ป้องกันอกุศล
ทำให้เกิด ความสุข ความดี ความเจริญ อย่างแท้จริง
🔹 อานาปานสติ (การเจริญสติด้วยลมหายใจ)
หายใจเข้า “มีสติ”
หายใจออก “มีสติ”
เป็นเครื่องมือเพื่อพัฒนากาย วาจา ใจ
ช่วยให้เกิด สติปัฏฐาน 4 → โพชฌงค์ 7 → วิชชาและวิมุติ
🔹 กายสมาจาร (ความประพฤติทางกาย)
แบ่งเป็น 2 ประเภท:
ควรเสพ = ส่งเสริมกุศลธรรม
ไม่ควรเสพ = เพิ่มอกุศลธรรม เช่น
ฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม
🔹 วิธีพิจารณาเพื่อเว้นจากอกุศลกรรม
คิดว่า “สิ่งที่เราไม่ชอบ คนอื่นก็ไม่ชอบ”
นำไปสู่การเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกาม
เป็นการ รักษาศีลด้วยใจ เข้าใจและเมตตา
🔹 อานิสงส์ของอานาปานสติ
ทำให้เกิดสมาธิ
ระงับอกุศลได้เร็ว
ทำให้กายและใจ สงบ สดชื่น เป็นสุข
ป้องกันอันตรายจากการเจริญธรรมผิด เช่น เจริญอสุภะมากเกินไป
✅ กายสมาจารบริสุทธิ์
ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ไม่ใช้ความรุนแรงหรือเบียดเบียนผู้อื่น
✅ วจีสมาจารบริสุทธิ์
ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่ถากถางดูหมิ่น
✅ มโนสมาจารบริสุทธิ์
ไม่มีความโลภ พยาบาท หรือเห็นผิด
ไม่ใฝ่ในเงินทองและกิเลสทางใจ
🔸 ลักษณะของอาชีวะบริสุทธิ์
ภิกษุไม่ประกอบกิจที่ผิดธรรม เช่น รักษาโรคเพื่อเงิน พูดจาเลียบเคียงขอของ หรือสะสมทรัพย์
🔸 แบ่งอาชีวะออกเป็น ๒ ระดับ
ประเภท ลักษณะ ผล
อาชีวะที่ยังมีอาสวะ ยังเป็นไปเพื่อบุญ มีผลเป็นอุปธิ (ภาระ ยากที่จะทน)
อาชีวะอันเป็นอริยะ งดเว้นอย่างเด็ดขาด เป็นองค์มรรค, ไม่มีอาสวะ, เป็นโลกุตตระ
การพูดหลอกลวง เลียบเคียง หว่านล้อม เล็มทีละน้อย
การใช้ลาภต่อลาภ
เป็นเหตุแห่ง มิจฉาวายามะ (ความพยายามผิด) และทำให้ไม่มี ความใส (ความผ่องแผ้ว)
การงด การเว้น การเว้นขาด โดยมีเจตนาเป็นเหตุ
สัมมาอาชีวะ เป็นหนึ่งในองค์มรรค (อริยมรรคมีองค์ ๘)
ประกอบด้วยธรรม ๓ คือ
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูก)
สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ)
สัมมาสติ (การระลึกชอบ)
อุปธิ (ภาระ, ความติดยึด): ต้นเหตุแห่งทุกข์ เช่น ตัณหา กิเลส ทิฏฐิ
มัคคญาณ: ปัญญาที่ออกจากกิเลส ขันธ์ และนิมิตภายนอก
ความใส: ความผ่องแผ้วของสัมมาอาชีวะ เปรียบเหมือนน้ำใสที่ต่างจากกากคือมิจฉาอาชีวะ
1. เป้าหมายของการภาวนา
เพื่อ ความสำรวมอินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ฝึกจิตให้ ไม่หลงในอารมณ์ ที่เกิดจากการกระทบของอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก
2. รูปแบบการเห็น (การรับรู้)
รวบถือ (นิมิตตคฺคาหี): เห็นรวม ไม่แยกแยะ เช่น รูปสวย-ไม่สวย
แยกถือ (อนุปฺยัญชนคฺคาหี): เห็นแยกเป็นส่วนๆ เช่น ตาสวยแต่จมูกไม่สวย
→ ทั้งสองแบบ ล้วนเป็นที่มาของ อารมณ์ปรุงแต่ง และความยึดมั่น
3. ปฏิจจสมุปบาท (กระบวนการเกิดและดับของทุกข์)
สายเกิด: อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป → สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ ฯลฯ
สายดับ: เริ่มจาก อวิชชาดับ แล้วทุกข์ทั้งหมดจึงดับตาม
4. การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
รักษาอินทรีย์ทั้ง 6 ด้วยสติ → ลด อภิชฌา (ความอยากได้ของผู้อื่น) และ โทมนัส (ความทุกข์ใจ)
คุ้มครอง ทวารใน คือ ไม่ยินดียินร้ายเกินไปกับสิ่งที่รับรู้
“มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก”
มีสติรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบ ไม่ยึดติด ไม่หลงไปตามความรู้สึก
ธรรมะ ความหมาย ผลที่ได้
อินทรีย์ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฝึกให้ไม่หลงไปตามอารมณ์
ผัสสะ การกระทบกันของอายตนะ ต้นทางของเวทนาและตัณหา
ปฏิจจสมุปบาท เหตุปัจจัยแห่งทุกข์ เห็นความจริง นำไปสู่การดับทุกข์
สติ การระลึกรู้ เครื่องมือหลักในการภาวนา
สรุปสาระสำคัญ: อานาปานสติภาวนาเพื่อการประมาณในโภชนะ (อาหาร)
1. มนุษย์ผู้มีสติอยู่เสมอและรู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า และมีอายุยืนยาว
2. พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกต้องเป็นผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน
3. การบริโภคอาหารควรพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ใช่เพื่อการเล่น, เพื่อความมัวเมา, เพื่อประดับ หรือเพื่อตกแต่ง
4. จุดประสงค์ของการบริโภคอาหารคือ เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้, เพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไป, เพื่อบำบัดความหิว, และเพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์
5. การรู้จักประมาณในการบริโภคอาหารมีอานิสงส์คือ กำจัดเวทนาเก่า, ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น, ทำให้ชีวิตดำรงอยู่, ไม่มีโทษ และอยู่ได้อย่างผาสุก
1. ความหมายและความสำคัญของ "สติ" และ "สัมปชัญญะ"
- "สติ" คือ ความระลึกได้ ไม่เลื่อนลอย ไม่หลงลืม ระลึกชอบ (สัมมาสติ)
เป็นองค์ธรรมสำคัญของการตรัสรู้ และเป็นเครื่องป้องกันกระแสกิเลส
- "สัมปชัญญะ" คือ ความรู้ตัวชัดในทุกอิริยาบถ ทั้งกาย วาจา ใจ
ครอบคลุมถึงการรู้ว่ามีประโยชน์, เหมาะสม, อยู่ในขอบเขต และไม่หลง
2. หลักปฏิบัติ
- อาศัย "สติปัฏฐาน 4" (กาย เวทนา จิต ธรรม) และ "อานาปานสติ 16 ขั้น"
- มีความเพียร มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
- ดำรงสติสัมปชัญญะในทุกกิจกรรม เช่น เดิน ยืน นั่ง นอน รับประทาน พูด นิ่ง
- พิจารณากายภายใน–ภายนอกด้วยสัมปชัญญะ 4
3. ผลและอานิสงส์
- ผู้มีสติสัมปชัญญะ นอนอย่างมีสติ ได้อานิสงส์ 5 ประการ ได้แก่
สุขในการหลับ–ตื่น, ไม่ฝันร้าย, เทวดารักษา, น้ำอสุจิไม่เคลื่อน
- ช่วยให้ทนต่อทุกขเวทนา เข้าใจไตรลักษณ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
- ขจัดนิวรณ์ 5 ครอบงำจิตไม่ได้
4. ตัวอย่างจากพุทธดำรัส
- การเจริญในกุศลธรรมเปรียบเหมือนดวงจันทร์ข้างขึ้น
- ความเสื่อมในกุศลธรรมเหมือนดวงจันทร์ข้างแรม
- ให้มีตนและธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ประมาท ไม่เดือดร้อนในภายหลัง
5. ข้อเตือนใจ
- สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ถูกปรุงแต่ง ย่อมเสื่อมสลาย
- ควรเพ่งพิจารณา เจริญสติอย่างต่อเนื่อง
- เป็นผู้ซื่อตรง ไม่โอ้อวด ไม่เสแสร้ง รับฟังคำสอนด้วยความเคารพ
สรุปสาระสำคัญ: อานาปานสติภาวนาเพื่อละนิวรณ์ 5
การใช้ อานาปานสติภาวนา (การมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก) เป็นวิธีการสำคัญในการละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้เกิดสมาธิ ได้แก่
1. กามฉันทะ (ความเพ่งเล็งอยากได้ของเขา)
* เมื่อละได้ จิตย่อมบริสุทธิ์ ไม่ถูกกังวลเหมือนคนมีหนี้สิน
* จิตเบิกบานและสงบ
2. พยาบาท (ความมุ่งร้าย)
* เมื่อละได้ จิตไม่ผูกเวร คล้ายการหายจากโรค
* ใจสงบ เบิกบาน และมีเมตตา
3. ถีนมิทธะ (ความหดหู่ ง่วงเหงา เซื่องซึม)
* เมื่อละได้ คล้ายพ้นจากเรือนจำ มีแสงสว่างทางใจ
* จิตมีพลัง แจ่มใส
4. อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ)
* เมื่อละได้ คล้ายพ้นจากการตกเป็นทาส
* จิตสงบ ไม่หวั่นไหว
5. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
* เมื่อละได้ เหมือนพบภูมิสถานอันร่มเย็น
* จิตมั่นคง ไม่หลงทาง
แนวการปฏิบัติ
* ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติพึงอยู่ในสถานที่สงัด เช่น ป่า โคนไม้ ภูเขา หรือที่เงียบสงบ
* ตั้งกายตรง มีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก
* ใช้อานาปานสติเป็นฐานในการชำระจิตจากนิวรณ์ทั้งห้า
การเปรียบเทียบ
เปรียบ **นิวรณ์ ๕** เหมือนสิ่งกดขี่ผูกพัน เช่น
* หนี้สิน
* ความเจ็บป่วย
* การติดคุก
* ความเป็นทาส
* การหลงป่า
และเปรียบการ **ละนิวรณ์ได้** เหมือน
* ไม่มีหนี้
* พ้นโรค
* อิสรภาพจากเรือนจำ
* เป็นไทแก่ตนเอง
* พบภูมิร่มเย็น
อานิสงส์เมื่อสามารถละนิวรณ์ได้
* จิตเบิกบาน → เกิดปีติ
* ปีติ → กายสงบ
* กายสงบ → เกิดสุข
* สุข → จิตตั้งมั่นในสมาธิ
👉 สรุปโดยรวม: **อานาปานสติภาวนาเป็นวิธีตรงและมีพลังในการชำระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ ๕** ซึ่งเป็นอุปสรรคของสมาธิ การละนิวรณ์ได้ทำให้เกิดสุข เบิกบาน และนำไปสู่สมาธิอันมั่นคง
สรุปสาระสำคัญ: อานาปานสติภาวนาเพื่อบรรลุฌาน ๔
ฌาน ๔ คือ กระบวนการที่จิตพัฒนา จากความสงบหยาบ → ละเอียด → บริสุทธิ์
ปฐมฌาน : มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา → เหมือนร่างกายถูกอาบด้วยสบู่ชุ่มชื่น
ทุติยฌาน : เหลือปีติ สุข เอกัคคตา → ปีติซาบซ่านเองโดยไม่ต้องตรึกนึก
ตติยฌาน : เหลือสุข เอกัคคตา → สุขละเอียด เย็น สงบ
จตุตถฌาน : เหลืออุเบกขา เอกัคคตา → จิตผ่องใสเป็นกลาง บริสุทธิ์
ฌานเป็น **บาทฐานของวิปัสสนา** เพื่อให้ปัญญาแทงตลอดอริยสัจ ๔ → นำไปสู่วิมุตติ นิพพาน
เงื่อนไขการฝึก : ต้องมีศีล, ละนิวรณ์, มีสติ, ฝึกสม่ำเสมอ อดทน ไม่ท้อ
ฌานไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่เป็น “พื้นดินมั่นคง” ให้ปัญญาเจริญง่ายขึ้น
"วิชชา ๓" ที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุด้วยการปฏิบัติอานาปานสติภาวนาใต้ต้นโพธิ์ ได้แก่
1. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ – ระลึกชาติได้ รู้ถึงการเกิดชาติภพของตนและผู้อื่น
2. จุตูปปาตญาณ – รู้เห็นการตายและการเกิดใหม่ของสัตว์โลกตามกรรม
3. อาสวักขยญาณ – ญาณทำลายอาสวะ กิเลสสิ้นเชิง เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์
พระอรหันต์ทุกรูปบรรลุเพราะอาสวักขยญาณ แต่ไม่จำเป็นต้องมีญาณระลึกชาติหรือญาณเห็นจุติและอุปบัติ
การได้ "วิชชา ๓ ครบ" ถือเป็นคุณธรรมสูงสุด ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้สมบูรณ์
1. ทุกขอริยสัจ (ความจริงเรื่องทุกข์ – ควรกำหนดรู้)
* ทุกข์เกิดจากการมี “ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส”
* การประสบสิ่งไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และการไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ล้วนเป็นทุกข์
* โดยสรุป “อุปาทานขันธ์ 5” คือ ตัวทุกข์
2. สมุทัยอริยสัจ (เหตุแห่งทุกข์ – ควรละ)
* ตัณหา 3 ได้แก่
* *กามตัณหา* (อยากเสพกาม)
* *ภวตัณหา* (อยากให้มี ให้เป็น)
* *วิภวตัณหา* (อยากให้ดับสูญไป)
* ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดการยึดมั่นในขันธ์ 5 และเวียนว่ายตายเกิด
3. นิโรธอริยสัจ (ความดับทุกข์ – ควรทำให้แจ้ง)
* การดับตัณหาและอุปาทาน ทำให้จิตพ้นจากกิเลส
* บรรลุถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสงบเย็นและหลุดพ้น
4. มรรคอริยสัจ (ทางดับทุกข์ – ควรเจริญ)
คือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่
1. สัมมาทิฏฐิ
2. สัมมาสังกัปปะ
3. สัมมาวาจา
4. สัมมากัมมันตะ
5. สัมมาอาชีวะ
6. สัมมาวายามะ
7. สัมมาสติ
8. สัมมาสมาธิ
เพิ่มเติม
* การรู้แจ้งอริยสัจต้องผ่าน “3 รอบ 12 อาการ” (สัจจญาณ, กิจจญาณ, กตญาณ ในอริยสัจทั้ง 4)
* เมื่อรู้แจ้งตามจริง จะเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” เช่นที่พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุในปฐมเทศนา
* พระอรหันต์คือผู้ดับกิเลสได้สิ้นเชิง ไม่ยึดมั่นขันธ์ 5 หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
* การปฏิบัติอานาปานสติเป็นเครื่องช่วยเจริญมรรค จนถึงการพ้นทุกข์โดยสมบูรณ์
1. แนวคิดหลัก
เความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติ **อานาปานสติ (การเจริญสติด้วยลมหายใจเข้าออก)** กับ **ธาตุ 5** ชี้ให้เห็นการพิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า “ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา” อันนำไปสู่ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด และวางเฉยได้
2. ธาตุ 5
1. ปฐวีธาตุ (ดิน)
สิ่งหยาบ แข็ง เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อวัยวะต่าง ๆ → พิจารณาให้เห็นว่าไม่ใช่ของเรา 
2. อาโปธาตุ (น้ำ)
ของเหลว เช่น เลือด น้ำลาย น้ำมูก เหงื่อ หนอง น้ำตา → เป็นเพียงธรรมชาติของการเอิบอาบ 
3. เตโชธาตุ (ไฟ)
ความร้อน อบอุ่น เผาผลาญ ทำให้ร่างกายย่อยอาหาร เสื่อมโทรม หรือเร่าร้อน 
4. วาโยธาตุ (ลม)
การเคลื่อนไหว เช่น ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมที่พัดขึ้นลง รวมถึงลมหายใจเข้าออก 
5. อากาสธาตุ (อากาศ/ช่องว่าง)
ช่องว่าง เช่น ช่องปาก หู จมูก ช่องที่อาหารถูกกลืน เคี้ยว และไหลผ่าน 
3. หลักการปฏิบัติ
* มหาราหุโลวาทสูตร : ทุกธาตุไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา และไม่ใช่อัตตา → เป็นการปล่อยวางอัตตา
* ภาวนาเสมอดิน : เปรียบเหมือนแผ่นดินที่ไม่รังเกียจของสะอาดหรือไม่สะอาด ผู้ปฏิบัติพึงทำจิตให้เสมอดิน ไม่หวั่นไหวต่อผัสสะที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ 
* การเจริญอานาปานสติประกอบกับการพิจารณาธาตุ 5 จะช่วยให้ใจเป็นกลาง ไม่ถูกกิเลสครอบงำ
4. เป้าหมาย
* โลกย่อมหมุนเวียนไปเพราะ **ความเพลิดเพลินและวิตก**
* เมื่อละ **ตัณหา** ได้ → จึงบรรลุ **นิพพาน** 
✅ สรุปสั้น:
เอกสารนี้นำเสนอการเจริญอานาปานสติร่วมกับการพิจารณาธาตุ 5 เพื่อเห็นความจริงของกายและใจว่าไม่ใช่ตัวตน อันจะนำไปสู่ความวางเฉยต่อผัสสะ คลายกำหนัด และบรรลุธรรมสูงสุดคือนิพพาน
สรุปสาระสำคัญ : อานาปานสติเสมอด้วยธาตุ 5
อานาปานสติภาวนา เป็นการเจริญสติด้วยการกำหนดลมายใจเข้า–ออก ถือว่าเป็นกรรมฐานที่สำคัญ สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัยและทุกสถานที่
การภาวนานี้สามารถทำให้เกิดสมาธิ ความสงบ และยังเป็นพื้นฐานในการเจริญปัญญา นำไปสู่ความเข้าใจในสัจธรรม
อานาปานสติ มีคุณประโยชน์ เสมอด้วยการเจริญธาตุ 5 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ
ธาตุดิน สอนให้ระลึกถึงความมั่นคง อดทน หนักแน่น
ธาตุน้ำ เตือนให้มีความไหลเลื่อน ยืดหยุ่น และปรับตัว
ธาตุไฟ เปรียบเสมือนพลังงาน ความเพียร ความร้อนแรงในทางสร้างสรรค์
ธาตุลม สื่อถึงการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลง การไม่หยุดนิ่ง
อากาศธาตุ คือความว่าง โปร่ง โล่ง เปิดไปสู่ความหลุดพ้น
การภาวนาอานาปานสติเปรียบเสมือนการบ่มเพาะทุกธาตุเข้าด้วยกัน ทำให้จิตตั้งมั่นและมีสมดุลทางกายและใจ
ประโยชน์ของอานาปานสติ
1. ด้านจิตใจ : เกิดความสงบ ลดความฟุ้งซ่าน คลายความเครียด
2. ด้านกายภาพ : ทำให้ลมหายใจเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสุขภาพ
3. ด้านปัญญา : ช่วยให้เกิดการรู้เท่าทันสภาวะของธรรมชาติ เข้าใจความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง
4. ด้านปฏิบัติธรรม : เป็นแนวทางสู่การบรรลุธรรมในพุทธศาสนา
สร
อานาปานสติภาวนาเป็นการฝึกสติที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เปรียบได้กับการเข้าถึงคุณค่าของธาตุทั้ง 5 ที่หลอมรวมให้เกิดสมดุล ความสงบ และปัญญา การเจริญอานาปานสติอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
หัวใจสำคัญ
ใจเป็นหัวหน้า ธรรมทั้งหลายเกิดตามใจ
การภาวนาเป็นการฝึกใจให้ละอกุศล และเจริญกุศลธรรม
เชื่อมโยง อานาปานสติ (การเจริญสติด้วยลมหายใจเข้าออก) เข้ากับ ภาวนา 6 จาก มหาราหุโลวาทสูตร
ภาวนา 6 และสิ่งที่ละได้
1. เมตตา – ละพยาบาท
2. กรุณา – ละการเบียดเบียน
3. มุทิตา – ละความริษยา
4. อุเบกขา – ละความหงุดหงิด
5. อสุภะ – ละราคะ
6. อนิจจสัญญา – ละความถือตัว
เนื้อหาสำคัญ
1. เมตตาภาวนา
แม้เสพเมตตาเพียงช่วงสั้น ก็มีผลมากกว่าศรัทธาในการรักษาศีลเพียงอย่างเดียว
เมตตาส่งผลให้เกิดความรัก ความเคารพ ความสงเคราะห์ ความสามัคคี และความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ชน
ตัวอย่าง:
* พระพุทธเจ้าทรงแผ่เมตตาแก่มัลลกษัตริย์ จนเกิดศรัทธา
* ภิกษุที่ไม่ได้แผ่เมตตาแก่ตระกูลงู ถูกงูกัดเสียชีวิต
* **อานิสงส์ 11 ประการของเมตตาเจโตวิมุตติ** เช่น หลับเป็นสุข, ตื่นเป็นสุข, ไม่ฝันร้าย, เทวดาคุ้มครอง, จิตตั้งมั่นเร็ว, หน้าใสผ่อง, ตายไม่หลงสติ, ไปเกิดพรหมโลก
2. กรุณาภาวนา
* เจโตวิมุตติที่สลัดวิหิงสา (ความเบียดเบียน)
* ฝึกใจให้ปรารถนาสรรพสัตว์พ้นทุกข์
3. มุทิตาภาวนา
* เจโตวิมุตติที่สลัดอรติ (ความไม่ยินดีในความสุขผู้อื่น)
* ฝึกใจให้เบิกบานต่อความสำเร็จของผู้อื่น
4. อุเบกขาภาวนา
* เจโตวิมุตติที่สลัดราคะและความยึดติด
* ฝึกใจให้เป็นกลางต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
5. อสุภะภาวนา
* เจริญการเห็นความไม่งาม เพื่อละราคะตัณหา
6. อนิจจสัญญาภาวนา
* การระลึกถึงความไม่เที่ยง เพื่อละการถือตัวและความยึดมั่น
สรุป
การเชื่อมโยง อานาปานสติ เข้ากับ ภาวนา 6 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติภาวนาให้เข้าถึงฌานและเจโตวิมุตติ โดยเน้นว่า
การฝึกใจด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อสุภะ และอนิจจสัญญา สามารถละอกุศลธรรมได้
ผลลัพธ์คือ ความสงบ ความสุข ความเมตตาต่อสรรพสัตว์ และการพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์
วิธีเสพอานาปานสติ ขั้นที่ 1-2
วิธีปฏิบัติ อานาปานสติ (การเจริญสติด้วยลมหายใจเข้าออก) โดยเน้นขั้นที่ 1-2
ผู้ปฏิบัติสามารถเป็นทั้งภิกษุ กัลยาณปุถุชน หรือผู้มีความสนใจธรรมะทั่วไป
เน้นการฝึกสติจากลมหายใจทั้งยาวและสั้น เพื่อให้จิตตั้งมั่นและไม่ฟุ้งซ่าน
แนะนำสถานที่สงบ เช่น ป่า โคนไม้ เรือนว่าง ถ้ำ วิหาร หรือสถานที่ไร้ความพลุกพล่าน
การนั่งควรเป็นแบบขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง
รักษาสติให้จดจ่อ “เฉพาะหน้า” คือกำหนดที่ลมหายใจเป็นหลัก
ขั้นที่ 1: รู้ชัดว่าหายใจเข้า-ออกยาว
ขั้นที่ 2: รู้ชัดว่าหายใจเข้า-ออกสั้น
ผู้ปฏิบัติเปรียบเหมือน “ช่างกลึง” ที่มีความชำนาญ รู้ชัดเมื่อเชือกยาวหรือสั้น เช่นเดียวกับการแยกแยะลมหายใจยาว-สั้น
ต้องรู้ตามจริง ไม่ปรุงแต่ง ไม่ฟุ้งซ่าน
สมถะสมาธิ: จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ ตั้งมั่นด้วยกำลังสมาธิ (มีทั้งหมด 12 ขั้นแรกเป็นสมาธิ)
วิปัสสนาญาณ: การพิจารณาลมหายใจตามไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เกิดญาณปัญญา 72 ประการ
เกิด ฉันทะ (ความพอใจ), ปราโมทย์ (ความอิ่มใจ), นำไปสู่ อุเบกขา (วางเฉย)
นำไปสู่การเห็นกายในกาย ตามหลักสติปัฏฐาน
ผลคือความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับราคะ และละการยึดถือ
อานาปานสติขั้นต้น เป็นการ ฝึกสติให้รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสติมั่นคง จะพัฒนาเป็นสมาธิ และต่อยอดเป็นวิปัสสนาญาณ
จุดมุ่งหมายคือการเกิดปัญญา เห็นไตรลักษณ์ นำไปสู่ความหลุดพ้น