13 กุมภาพันธ์ 2568
น้ำมันกฤษณา (Agarwood oil) เป็นหนึ่งในน้ำมันหอมระเหยที่มีค่าที่สุดในโลก ได้มาจากไม้กฤษณา (Aquilaria spp.) ซึ่งเป็นต้นไม้ที่พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และจีน น้ำมันนี้เป็นที่รู้จักกันดีในด้านกลิ่นหอมที่ซับซ้อนและมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมน้ำหอม อโรมาเธอราพี และการแพทย์แผนโบราณ
ยุคโบราณ: น้ำมันกฤษณามีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณในวัฒนธรรมจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นยารักษาโรค
พุทธศาสนาและฮินดู: ในพุทธศาสนา ไม้กฤษณาถูกกล่าวถึงในพระไตรปิฎกว่าเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมศักดิ์สิทธิ์ ส่วนในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการทำเครื่องหอมและบูชาเทพเจ้า
อิสลามและตะวันออกกลาง: ในโลกอาหรับ น้ำมันกฤษณาเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีมูลค่ามาก ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม และถือว่าเป็นกลิ่นหอมที่มีเกียรติสูง
น้ำมันกฤษณาถูกสกัดจากไม้กฤษณาที่ติดเชื้อจากเชื้อรา (Phialophora parasitica) ซึ่งกระตุ้นให้ต้นไม้สร้างเรซินหอมขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง กระบวนการผลิตมีหลายขั้นตอน:
การเจริญเติบโตของต้นไม้: ต้นกฤษณาจะต้องได้รับเชื้อราตามธรรมชาติหรือผ่านกระบวนการกระตุ้น (Inoculation) เพื่อให้เกิดเรซิน
การเก็บเกี่ยว: ต้องเลือกต้นไม้ที่มีอายุพอสมควร (15-50 ปี) เพื่อให้ได้ปริมาณเรซินสูงสุด
การสกัดน้ำมัน: ใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ (Steam Distillation) หรือสกัดด้วยตัวทำละลาย
การบ่มกลิ่น: น้ำมันกฤษณาต้องถูกเก็บรักษาไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ได้กลิ่นที่สมบูรณ์และซับซ้อน
น้ำมันกฤษณามีราคาสูงมาก โดยสามารถมีราคาถึงหลักแสนบาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพและแหล่งที่มา
เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศอย่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยเฉพาะในตลาดตะวันออกกลางและยุโรป
เป็นที่ต้องการสูงในอุตสาหกรรมเครื่องหอม น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับไฮเอนด์
น้ำหอมและอโรมาเธอราพี – ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอมระดับไฮเอนด์ เช่น แบรนด์ฝรั่งเศสและแบรนด์อาหรับ
การแพทย์แผนโบราณ – ในอินเดียและจีน น้ำมันกฤษณาถูกใช้รักษาอาการเครียด นอนไม่หลับ และปัญหาทางเดินอาหาร
พิธีกรรมทางศาสนา – ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาในพุทธศาสนา ฮินดู และอิสลาม เช่น การจุดกำยาน
อุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอาง – ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย
การลักลอบตัดไม้: ไม้กฤษณาถูกจัดให้เป็นไม้หายากและใกล้สูญพันธุ์ ทำให้ต้องมีการปลูกและควบคุมอย่างเข้มงวด
การเพาะปลูกและการพัฒนา: มีการพัฒนาเทคนิคกระตุ้นเรซินเพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันกฤษณาได้โดยไม่ต้องรอธรรมชาติ
ราคาสูงและการปลอมแปลง: มีการปลอมแปลงน้ำมันกฤษณาโดยใช้สารเคมีหรือส่วนผสมอื่นเพื่อลดต้นทุน ทำให้ต้องมีมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพ
น้ำมันกฤษณาเป็นสินค้าที่มีคุณค่าและมีประวัติศาสตร์ยาวนานในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก นอกจากการใช้เพื่อความหอมและศาสนาแล้ว ยังมีบทบาทในอุตสาหกรรมยาสมุนไพรและความงาม ปัจจุบันการผลิตต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของการอนุรักษ์และความยั่งยืนของทรัพยากร ทำให้เกิดการพัฒนาการเพาะปลูกเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ต้นกฤษณา (Aquilaria spp.) มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ เนื่องจากเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสูง โดยสามารถแบ่งชื่อเรียกได้ดังนี้:
สกุล (Genus): Aquilaria
สายพันธุ์ที่นิยม:
Aquilaria crassna (พบในไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, ลาว)
Aquilaria malaccensis (พบในอินเดีย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย)
Aquilaria sinensis (พบในจีน)
Aquilaria hirta, Aquilaria beccariana, Aquilaria subintegra ฯลฯ
ชื่อไทยทั่วไป: กฤษณา
ชื่อท้องถิ่นในภาคต่าง ๆ
ภาคกลาง: กฤษณา
ภาคเหนือ: ไม้หอม
ภาคใต้: กระดูก
ประเทศ ชื่อเรียกต้นกฤษณา
กัมพูชา Krasna (ក្រស្នា)
ลาว Mai Ketsana (ໄມ້ເກັດສະໜາ)
เวียดนาม Trầm hương
มาเลเซีย Gaharu
อินโดนีเซีย Gaharu
อินเดีย Agarwood, Oudh, Agar
จีน 沉香 (Chénxiāng)
ญี่ปุ่น Jinkō (沈香)
อาหรับ Oud (عود)
เปอร์เซีย Oodh
ยุโรป / อังกฤษ Agarwood, Aloeswood, Eaglewood
น้ำมันกฤษณา: Oud Oil, Agarwood Oil
ไม้กฤษณาแปรรูป: Agarwood Chips, Agarwood Powder
กำยานจากกฤษณา: Incense Oud, Bakhoor
ต้นกฤษณามีชื่อเรียกที่หลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและวัฒนธรรม โดยชื่อที่เป็นที่รู้จักในระดับสากล ได้แก่ Agarwood และ Oud ซึ่งมักใช้กันในอุตสาหกรรมน้ำหอมและอโรมาเธอราพี ส่วนในเอเชียมีชื่อท้องถิ่น เช่น Gaharu (มาเลย์/อินโดนีเซีย), Krasna (กัมพูชา), Trầm hương (เวียดนาม), Chénxiāng (จีน) เป็นต้น
ต้นกฤษณา (Aquilaria spp.) จะผลิตเรซินหรือสารหอมกฤษณาเมื่อเกิดการกระตุ้นหรือได้รับความเสียหายบางอย่าง ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้เรซินคุณภาพสูงสำหรับการกลั่นน้ำมันกฤษณา จึงมีเทคนิคต่าง ๆ ในการกระตุ้นให้ต้นไม้สร้างเรซินมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นเทคนิคหลักดังนี้:
เกิดขึ้นเมื่อไม้กฤษณามีบาดแผลตามธรรมชาติ เช่น กิ่งหักหรือรอยแตกที่เกิดขึ้นเอง
เชื้อรา Phialophora parasitica จะเข้าสู่เนื้อไม้และกระตุ้นให้ต้นกฤษณาสร้างเรซินเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
กระบวนการนี้ใช้เวลานาน (10-30 ปี) และไม่สามารถควบคุมปริมาณเรซินได้
ใช้สัตว์ เช่น มดหรือแมลงที่ชอบกัดกินเปลือกไม้ เพื่อกระตุ้นการเกิดเรซิน
ปล่อยให้ต้นไม้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เช่น แสงแดดจัด ความชื้นสูง
ข้อดี: คุณภาพของเรซินสูง
ข้อเสีย: ใช้เวลานาน ไม่สามารถเร่งให้ได้ผลผลิตเร็ว
ใช้สว่านเจาะรูขนาด 0.5-1 ซม. บริเวณลำต้นของต้นกฤษณา (เจาะลึกประมาณ 5-10 ซม.)
จำนวนรูขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้ (ต้นเล็ก 10-20 รู, ต้นใหญ่ 30-50 รู)
ปล่อยให้ต้นไม้สร้างเรซินตามธรรมชาติ
ข้อดี: ทำง่าย ต้นไม้ไม่เสียหายมาก
ข้อเสีย: อาจใช้เวลานานกว่าจะเกิดเรซินในปริมาณมาก
ฉีดสารกระตุ้น (เช่น สารเคมีที่ปลอดภัย หรือสารสกัดจากเชื้อรา) เข้าไปในรูที่เจาะ
สารเคมีจะเร่งให้ต้นกฤษณาหลั่งเรซินออกมาเร็วขึ้น
ตัวอย่างสารที่ใช้:
สารสกัดจากเชื้อรา (Fungal Extracts) เช่น Phialophora parasitica หรือเชื้อราอื่นที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเรซิน
กรดอินทรีย์ (Organic Acids) เช่น Acetic Acid, Formic Acid
เอนไซม์และฮอร์โมนพืช (Plant Hormones) เช่น Jasmonic Acid ที่ช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่อความเครียด
ข้อดี: ให้ผลเร็ว (6-12 เดือน) และสามารถควบคุมปริมาณการเกิดเรซินได้
ข้อเสีย: ต้องมีการทดลองใช้สารเคมีกระตุ้นที่เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบต่อต้นไม้
ใช้มีดเฉือนเปลือกไม้บางส่วนออกเพื่อเปิดเนื้อไม้
ทิ้งไว้ให้ต้นไม้ตอบสนองโดยสร้างเรซินเพื่อป้องกันแผล
ใช้ไฟเผาหรือความร้อนประคบบางส่วนของลำต้น
ทำให้ต้นไม้รับรู้ว่าได้รับอันตรายและเริ่มผลิตเรซิน
ข้อดี: กระบวนการง่าย ไม่ต้องใช้สารเคมี
ข้อเสีย: อาจทำให้ต้นไม้เสียหายหรือเกิดความเครียดมากเกินไป
การปลูกต้นไม้ในสภาพที่เหมาะสม เช่น ในดินร่วนปนทรายที่มีความชื้นพอเหมาะ
การให้สารอาหารที่เหมาะสม เช่น โพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูง เพื่อช่วยเสริมสร้างเรซิน
การดูแลต้นไม้ให้มีสุขภาพดี เพื่อให้ตอบสนองต่อการกระตุ้นได้ดี
หากต้องการเรซินคุณภาพสูง วิธีธรรมชาติ (ติดเชื้อราหรือบาดแผลธรรมชาติ) จะให้ผลดีที่สุด แต่ใช้เวลานาน
หากต้องการเรซินเร็วขึ้น การเจาะรูและฉีดสารกระตุ้น เป็นทางเลือกที่นิยมในเชิงพาณิชย์
ควรเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับต้นไม้และสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้เรซินที่มีคุณภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
น้ำมันกฤษณาถูกจำแนกออกเป็นหลายประเภทตามคุณภาพ แหล่งที่มา และกระบวนการผลิต ซึ่งส่งผลต่อราคาที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้:
ได้จากต้นกฤษณาเก่าแก่ (อายุ 30-50 ปีขึ้นไป) ที่เกิดเรซินตามธรรมชาติ
มีกลิ่นหอมเข้มข้น ซับซ้อน ติดทนนานหลายวัน
มักถูกนำไปใช้ในน้ำหอมระดับไฮเอนด์และพิธีกรรมทางศาสนา
ราคาโดยประมาณ: 100,000 - 500,000 บาท/ลิตร (ขึ้นอยู่กับคุณภาพและแหล่งที่มา)
ได้จากไม้กฤษณาที่มีอายุปานกลาง (20-30 ปี)
กลิ่นหอมดีแต่ไม่เข้มข้นเท่าระดับพรีเมียม
นิยมใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม เครื่องสำอาง และอโรมาเธอราพี
ราคาโดยประมาณ: 50,000 - 150,000 บาท/ลิตร
ได้จากไม้กฤษณาที่มีการเร่งเรซินผ่านการเพาะเชื้อ
มีกลิ่นหอมแต่ระยะเวลาติดทนน้อยกว่าระดับสูง
ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและยาสมุนไพร
ราคาโดยประมาณ: 20,000 - 50,000 บาท/ลิตร
ได้จากกระบวนการกลั่นที่ใช้ไม้กฤษณาผสมเรซิน
กลิ่นหอมไม่ซับซ้อน และระเหยเร็วกว่าเกรดสูง
นิยมใช้เป็นส่วนผสมในธูปหอม น้ำหอมราคาประหยัด และอโรมาเธอราพี
ราคาโดยประมาณ: 5,000 - 20,000 บาท/ลิตร
ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์หรือมีการเจือจางด้วยน้ำมันชนิดอื่น
กลิ่นอาจคล้ายของแท้ แต่ระเหยเร็วและไม่ซับซ้อน
ราคาโดยประมาณ: 500 - 5,000 บาท/ลิตร
แหล่งที่มาของไม้กฤษณา
กฤษณาธรรมชาติจากป่า (Wild Agarwood) มีราคาสูงกว่ากฤษณาจากการเพาะปลูก
แหล่งผลิตหลักที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, อินเดีย, อินโดนีเซีย
อายุของต้นกฤษณา
ต้นไม้ที่มีอายุมากมักให้เรซินคุณภาพสูงกว่าต้นอ่อน
กระบวนการกลั่น
การกลั่นแบบดั้งเดิมให้กลิ่นหอมที่ซับซ้อนกว่า แต่ต้องใช้เวลานานและต้นทุนสูง
ปริมาณเรซินในไม้กฤษณา
ยิ่งมีเรซินมาก น้ำมันที่ได้ยิ่งมีคุณภาพสูง
ความต้องการในตลาด
ตลาดน้ำหอมตะวันออกกลางและยุโรปมีความต้องการสูง ทำให้ราคาสูงขึ้น
ควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีใบรับรอง CITES และมาตรฐานคุณภาพ
ทดสอบกลิ่นและระยะเวลาติดทนของน้ำมัน
หลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีสีใสเกินไปหรือกลิ่นที่ระเหยเร็ว เพราะอาจเป็นของปลอม
น้ำมันกฤษณามีหลายเกรด ตั้งแต่พรีเมียมที่หายากและมีราคาสูง ไปจนถึงเกรดเชิงพาณิชย์และของปลอม ราคาขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา วิธีการผลิต และความต้องการของตลาด โดยเกรดพรีเมียมสามารถมีราคาสูงถึงหลักแสนบาทต่อลิตร ขณะที่เกรดต่ำอาจมีราคาเพียงหลักพันบาท
น้ำมันกฤษณาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและมาจากต้นไม้ที่หายาก ทำให้มีกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับที่ควบคุมทั้งในระดับประเทศและสากล เพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้และคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ
กำหนดให้ต้นกฤษณา (Aquilaria spp.) เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก (ไม้หวงห้ามลำดับที่ 23)
การตัดไม้กฤษณาจากป่าธรรมชาติต้องได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้
ห้ามลักลอบตัดและขนส่งไม้กฤษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต
กำหนดให้ต้นกฤษณาเป็นพันธุ์ไม้คุ้มครอง
ห้ามเก็บเกี่ยวหรือลักลอบนำไม้ออกจากป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต
กำหนดให้การเพาะปลูกไม้กฤษณาเพื่อการค้า ต้องได้รับอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร
เกษตรกรที่ต้องการปลูกต้องขึ้นทะเบียนและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
การส่งออกน้ำมันกฤษณาต้องปฏิบัติตามระเบียบศุลกากร
ต้องมีเอกสารประกอบ เช่น ใบอนุญาตส่งออกจากกรมป่าไม้และใบรับรอง CITES
ประเทศไทยเป็นภาคีของ CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora)
ต้นกฤษณา (Aquilaria spp.) ถูกจัดอยู่ใน บัญชีหมายเลขที่ 2 ของ CITES
การส่งออกไม้กฤษณาหรือน้ำมันกฤษณาต้องได้รับ ใบอนุญาต CITES จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
สหรัฐอเมริกา: กฎหมาย Lacey Act ควบคุมการนำเข้าและซื้อขายผลิตภัณฑ์จากไม้ที่ละเมิดกฎหมายประเทศต้นทาง
สหภาพยุโรป (EU): มีกฎหมายเกี่ยวกับการนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้เพื่อป้องกันการลักลอบค้าไม้ผิดกฎหมาย
ตะวันออกกลาง: บางประเทศมีมาตรการภาษีนำเข้าสำหรับน้ำมันกฤษณา เนื่องจากเป็นสินค้าหรูหรา
ผู้ที่ต้องการปลูกต้นกฤษณาเพื่อการค้า ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมป่าไม้
ต้องมีหลักฐานการได้มาของต้นกล้าและมีแผนการปลูกที่ชัดเจน
ต้องรายงานปริมาณการเก็บเกี่ยวและการสกัดน้ำมันแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้ส่งออกต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก จากกรมป่าไม้
ต้องมี ใบรับรอง CITES เพื่อแสดงว่าไม้ที่ใช้ในการผลิตถูกต้องตามกฎหมาย
ต้องมีเอกสารการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานน้ำมันกฤษณาตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง
จำคุกสูงสุด 5-20 ปี และปรับสูงสุด 2 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484
ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท และจำคุกสูงสุด 10 ปี ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
โทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และปรับตามมูลค่าความเสียหาย ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560
มีการส่งเสริม การปลูกไม้กฤษณาในเชิงพาณิชย์ เพื่อลดการทำลายป่าธรรมชาติ
มีโครงการส่งเสริม เทคโนโลยีการเพาะเชื้อเรซิน เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวเรซินจากต้นไม้ที่ปลูกได้เร็วขึ้น
ส่งเสริมการตรวจสอบ แหล่งที่มาของน้ำมันกฤษณา เพื่อป้องกันการลักลอบค้า
น้ำมันกฤษณาเป็นสินค้าสำคัญที่ต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดทั้งในระดับประเทศและระดับสากล โดยเฉพาะภายใต้กฎหมายป่าไม้ กฎหมายศุลกากร และอนุสัญญา CITES เพื่อป้องกันการลักลอบค้าและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจเกี่ยวกับไม้กฤษณาต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นไปตามมาตรฐานสากล