25 พฤศจิกายน 2567
สถานการณ์ที่ ยุโรปเผชิญกับอุณหภูมิสูงสุดในรอบปี กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเกษตรกรรม เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อการปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าวสาลี มันฝรั่ง และองุ่น โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาการเกษตรในพื้นที่เสี่ยงต่อความแห้งแล้ง เช่น สเปน ฝรั่งเศส และอิตาลี
การลดลงของผลผลิต
พืชเศรษฐกิจหลายชนิดไม่สามารถเติบโตได้ในอุณหภูมิที่สูงเกินไปหรือในสภาพที่ดินแห้งแล้ง
เกษตรกรบางรายเผชิญกับปัญหาแหล่งน้ำไม่เพียงพอสำหรับการชลประทาน
ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
การจัดการเพื่อป้องกันพืชผลจากความร้อน เช่น การลงทุนในระบบน้ำหรืออุปกรณ์ทำความเย็น
ราคาพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในด้านการจัดการฟาร์ม
การเปลี่ยนแปลงชนิดพืชที่ปลูก
พืชที่ไม่ทนต่อความร้อน เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ อาจถูกแทนที่ด้วยพืชที่ต้องการน้ำน้อยกว่า
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เกษตรกรในยุโรปเริ่มมองหาพืชทางเลือกที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ โดยพืชเหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงจากความแปรปรวนของอุณหภูมิและการขาดแคลนน้ำ
ตัวอย่างพืชทางเลือกที่ได้รับความสนใจ
ถั่วลูกไก่ (Chickpeas)
ต้องการน้ำน้อยและสามารถเติบโตในดินที่แห้งแล้ง
มีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมอาหารที่เน้นโปรตีนจากพืช
เคล (Kale) และควินัว (Quinoa)
ทนทานต่ออุณหภูมิสูงและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ตลาดผู้บริโภคให้ความสนใจในฐานะ "superfood"
องุ่นพันธุ์ทนร้อน
อุตสาหกรรมไวน์ในยุโรปกำลังพัฒนาองุ่นพันธุ์ใหม่ที่สามารถเจริญเติบโตในอุณหภูมิที่สูงขึ้น
พืชพลังงานชีวภาพ เช่น สาหร่ายและมันสำปะหลัง
ใช้สำหรับการผลิตพลังงานทางเลือกในพื้นที่เกษตรที่ขาดแคลนน้ำ
พืชน้ำมัน เช่น ทานตะวันและคาโนลา
ทนทานต่อความร้อนและสามารถสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันพืช
การเปลี่ยนแปลงวิธีการเพาะปลูก
ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบน้ำหยดและชลประทานแบบแม่นยำ
การใช้พันธุ์พืชดัดแปลงที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
การปรับปฏิทินการเพาะปลูก
เปลี่ยนช่วงเวลาการปลูกเพื่อหลีกเลี่ยงฤดูร้อนที่รุนแรงที่สุด
การวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช
การร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรในยุโรปเพื่อพัฒนาพืชพันธุ์ใหม่ที่ทนต่ออุณหภูมิสูง
การพึ่งพาพืชทางเลือกเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรในยุโรปสามารถปรับตัวต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและการพัฒนานโยบายที่เหมาะสม เช่น การวิจัยพันธุ์พืช การลงทุนในเทคโนโลยีการเกษตร และการส่งเสริมตลาดพืชทางเลือกในระดับสากล