4 กรกฎาคม 2568
พระสยามเทวาธิราช เป็นเทพผู้ปกปักรักษาชาติไทยตามความเชื่อของชาวไทย โดยถือเป็น เทพารักษ์ประจำแผ่นดินสยาม และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศชาติ ซึ่งความเชื่อนี้เริ่มมีหลักฐานและปรากฏชัดในสมัย รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังนี้:
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อ พระรูปพระสยามเทวาธิราช ขนาดเท่าตุ๊กตา สำริดรมดำ มีขนาดสูงประมาณ 8 นิ้ว ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปสักการะ
การสร้างพระสยามเทวาธิราชมีขึ้นในช่วงที่ราชอาณาจักรสยามถูกคุกคามจากอำนาจตะวันตก พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า ควรมีเทพที่ปกป้องรักษาชาติไทย เฉกเช่นเทพประจำชาติต่าง ๆ ที่ชาวตะวันตกเคารพ
แต่งกายอย่างเทพอินเดียแบบโบราณ
ทรงมงกุฎยอดแหลม (ยอดชัย)
ถือพระขรรค์ในพระหัตถ์ขวา อวโลกิตาและประทานพร
มีพระอิริยาบถสงบ สง่างาม แสดงถึงอำนาจและความเมตตา
ประดิษฐานในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม (ทิศหัวใจ)
เชื่อกันว่า พระสยามเทวาธิราชเป็น องค์เทพผู้ปกป้องผืนแผ่นดินไทย จากภัยภายนอก
มีการกล่าวคำถวายบังคมในงานพระราชพิธีสำคัญ
เป็นที่เคารพในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง และผู้รักชาติ
ปัจจุบันมีการสร้าง พระสยามเทวาธิราชจำลอง ให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้ในหลายพื้นที่
"พระสยามเทวาธิราช ทรงปกเกล้าปกกระหม่อม"
แสดงถึงความศรัทธาว่า เทพพระองค์นี้ทรงพิทักษ์ป้องกันชาติไทยเสมอมา
“สยามะเทวาธิราชา เทวาติเทวา มหิทธิกา
เทยยรัฏฐัง อนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา
สยามะเทวานุภาเวนะ สยามะเทวะเตชะสา
ทุกขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปัททะวา
อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสต-ถิภาคะยัง สุขัง พะลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง วุฑฒิ จะ ยะสะวา
สะตะวัสสา จะ อายุ จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เม”
พระกาฬชัยศรี และ พระชัยมงคล เป็นพระพุทธรูปสำคัญในพระราชพิธีและความเชื่อของราชสำนักไทย โดยมีความหมายและบทบาทที่แตกต่างกันแต่เกี่ยวข้องกับความเป็นสิริมงคลและการคุ้มครองบ้านเมือง ดังนี้:
ความหมายและบทบาท:
เป็น เทวรูป หรือ พระพุทธรูปสำคัญในพิธีกรรมเพื่อป้องกันภัยพิบัติ เช่น สงคราม โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ
มีลักษณะ ศักดิ์สิทธิ์และทรงอำนาจ ใช้ในพิธีกรรมสำคัญที่ต้องการ “สะกดเคราะห์” หรือ “ปราบอาถรรพ์”
คำว่า “กาฬ” แปลว่า ความมืด ความตาย หรือสิ่งร้าย ส่วน “ชัยศรี” หมายถึง ชัยชนะและความรุ่งเรือง
พระกาฬชัยศรีจึงเป็นสัญลักษณ์ของ ชัยชนะเหนืออำนาจแห่งความมืดหรือเคราะห์กรรม
ลักษณะเด่น:
มักมีรูปแบบน่าเกรงขาม
ประดิษฐานในที่สำคัญเฉพาะกิจ เช่น พิธีสะเดาะเคราะห์แห่งบ้านเมือง
ความหมายและบทบาท:
เป็น พระพุทธรูปองค์เล็ก ที่ประดิษฐานในพระแท่นภายใน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ หรือวังหน้า
เป็น พระพุทธรูปสำคัญประจำราชวงศ์ นิยมอัญเชิญมาในพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม หรือพิธีสำคัญที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
ใช้เป็น เครื่องหมายแห่งสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง และความสำเร็จในกิจการงาน
มีความเกี่ยวข้องกับพระชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กที่นิยมสร้างคู่กันเพื่อเป็นเครื่องราง
ลักษณะเด่น:
มักมีขนาดเล็ก สง่างาม
เน้นความเป็นสิริมงคล และสงบงาม
ศาลหลักเมือง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ที่เป็นที่รู้จักและเคารพบูชาอย่างแพร่หลาย มีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
ศาลหลักเมืองเป็นสถานที่ประดิษฐาน เสาหลักเมือง ซึ่งถือเป็น เสาหลักชัย หรือ เสาเอก ของเมืองนั้น ๆ มีความเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทวดารักษาเมือง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข
สร้างขึ้นเมื่อ: พ.ศ. 2325 โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1)
สถานที่ตั้ง: ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เสาหลักเมือง: ทำจากไม้ชัยพฤกษ์ ฝังลึกลงในดิน เป็นเสาแท่งกลม ประดับด้วยลวดลายทองคำ
องค์เทพประจำศาล (ตามความเชื่อ):
พระเสื้อเมือง
พระทรงเมือง
พระกาฬไชยศรี
เจ้าเจตคุปต์
พระบูรพมหากษัตริย์
ขอพรเรื่อง: การงาน ความรัก สุขภาพ ความสำเร็จ ความมั่นคงของชีวิต
นิยมถวาย: ดอกไม้ ธูป เทียน ชุดไทย ตุ๊กตาวัว-ควาย ขนมหวานไทย เช่น ขนมถ้วยฟูหรือขนมต้มแดงต้มขาว
ฤกษ์ไหว้ยอดนิยม: วันขึ้นปีใหม่, วันเกิด, วันเริ่มต้นงานใหญ่, หรือช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิต
จังหวัด จุดเด่น
กรุงเทพฯ ศาลหลักเมืองแห่งแรกที่มีการประดิษฐานเสาเอกแห่งราชวงศ์จักรี
สุพรรณบุรี มีเสาไม้สักทองและศาลประดับด้วยลายไทยสวยงาม
นครศรีธรรมราช มีอายุเก่าแก่ ผูกโยงกับประวัติศาสตร์สมัยศรีวิชัย
อุบลราชธานี ผสมผสานศิลปะล้านช้างในศาลหลักเมือง
พญาครุฑ (หรือ ครุฑ) เป็นสัตว์กึ่งเทพในตำนานที่มีบทบาทสำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ รวมทั้งในวรรณคดีไทยและศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจของราชวงศ์และสถาบันกษัตริย์ไทย
มีลำตัวเป็นมนุษย์ แต่มี หัว ปีก และเล็บเป็นนกอินทรี หรือเหยี่ยว
มีพละกำลังมหาศาล บินได้รวดเร็วและมีอำนาจ
มักปรากฏในท่ากางปีก ผงาดหน้า หรือถืออาวุธ
ใน ศาสนาฮินดู: พญาครุฑเป็น พาหนะของพระวิษณุ (พระนารายณ์) และเป็นศัตรูของพญานาค
มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายและภูติผีปีศาจ
เป็น สัญลักษณ์ของอำนาจและความยุติธรรม
เป็นตราสัญลักษณ์ของ ราชการไทยและพระมหากษัตริย์
เรียกว่า “ตราแผ่นดิน” ใช้รับรองเอกสารทางราชการ
เชื่อกันว่า บูชาพญาครุฑ จะช่วยให้พ้นจากอุปสรรคทางกฎหมาย คดีความ และศัตรู
นิยมบูชา รูปหล่อพญาครุฑ หรือ เหรียญพญาครุฑ โดยเฉพาะในวงราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ
คาถาบูชาพญาครุฑ:
ครุฑะพญา วิชะยะ ครุฑะราชา
พุทธะเชฏฐา นะโมพุทธายะ
นะมะพะทะ จะภะกะสะ
พญานาค เป็นสัตว์ในตำนานของศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู มีลักษณะเป็นงูใหญ่หรือมังกร มีความศักดิ์สิทธิ์และเกี่ยวข้องกับน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแม่น้ำโขง พญานาคถือเป็นสัญลักษณ์ของพลัง ปัญญา ความอุดมสมบูรณ์ และการคุ้มครอง
รูปร่างคล้ายงูใหญ่ มีเกล็ด มีหงอน หรือบางครั้งมีหลายเศียร (เช่น 5, 7, 9 หรือ 9 เศียร)
สีของพญานาคมีหลายสี เช่น เขียว ทอง น้ำเงิน แดง แต่ละสีมีความหมายต่างกัน
อาศัยอยู่ใน เมืองบาดาล หรือ นาคราชอาณาจักร ใต้น้ำ
พญานาคเป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา
ตำนานกล่าวว่า พญามุจลินทนาคราช แผ่พังพานป้องกันพระพุทธเจ้าในขณะตรัสรู้เมื่อฝนตก
บูชาเพื่อโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง
มีการสร้างรูปปั้นพญานาคที่วัด หรือริมแม่น้ำ เพื่อให้กราบไหว้ขอพร
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่แม่น้ำโขง (โดยเฉพาะที่หนองคาย) เชื่อว่าเป็นการแสดงฤทธิ์ของพญานาค
สีพญานาค ความหมาย
สีเขียว ความอุดมสมบูรณ์ และปกปักรักษา
สีทอง โชคลาภ บารมีสูง
สีน้ำเงิน ความลึกซึ้ง ปัญญา พลังจิต
สีแดง พลังอำนาจ อัคคี และความมุ่งมั่น
จุดธูป 9 ดอก
ถวายน้ำสะอาด ดอกไม้สีแดงหรือขาว
คาถาบูชาพญานาค (เช่น “โอม นะโม พญานาคินี นาคาธิบดีศรีสุทโธ”)
หากต้องการ ภาพพญานาค ในสไตล์ลายไทย สีทอง หรืองานศิลป์เฉพาะทาง แจ้งสไตล์หรือบรรยากาศที่ต้องการได้เลยครับ เช่น:
พญานาคสีทอง ลายไทย
พญานาค 7 เศียรกลางแม่น้ำโขง
พญานาคแนวแฟนตาซีอลังการ
พระแม่ธรณี (หรือ พระธรณี) เป็นเทพสตรีผู้เป็นตัวแทนของแผ่นดินในความเชื่อของศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว กัมพูชา และพม่า พระแม่ธรณีถือเป็นเทพีแห่งผืนแผ่นดิน ความอุดมสมบูรณ์ และความยุติธรรม โดยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและมีความสำคัญในพุทธประวัติด้วย
เป็นหญิงสาวงดงาม แต่งกายแบบนางฟ้าไทยโบราณ
ทรงบีบมวยผม เพื่อให้น้ำจากมวยผมไหลออกมาเป็นสายธาร
น้ำที่ไหลออกมานั้นคือ "น้ำสัจจธรรม" ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสมจากการบำเพ็ญบารมี
บางครั้งมีภาพทรงนั่งหรือลุกขึ้นจากพื้นดิน สื่อถึงความเป็นเทพีแห่งแผ่นดิน
พระแม่ธรณีปรากฏในช่วงสำคัญของพุทธประวัติ คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ และพญามารมากวนเพื่อขัดขวางการตรัสรู้
พระพุทธเจ้าทรงเรียก “พระแม่ธรณี” มาเป็นพยานถึงบารมีที่พระองค์ได้บำเพ็ญมา
พระแม่ธรณีจึงปรากฏกายแล้ว บีบมวยผม ให้น้ำไหลออกมาท่วมพญามารและเสนามารให้พ่ายแพ้ไป
สัญลักษณ์ ความหมาย
น้ำจากมวยผม บารมีและความบริสุทธิ์
การบีบมวยผม การแสดงความยุติธรรมและความจริง
การพ่ายแพ้ของมาร ความดีมีชัยเหนือความชั่ว
มักพบรูปปั้นหรือภาพของพระแม่ธรณีในศาลพระภูมิ ศาลหลักเมือง หรือหน้าบ้าน/ร้านค้า เพื่อความเป็นสิริมงคล
เป็นที่เคารพบูชาในฐานะ เทพผู้ปกปักรักษาแผ่นดิน และ เทพีแห่งความมั่นคง
มีการอัญเชิญพระแม่ธรณีในพิธีสำคัญ เช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างอาคาร หรือพิธีราชการ
พระแม่โพสพ (หรือที่รู้จักกันว่า เทพีแห่งข้าว หรือ เทพีแห่งการเกษตร) เป็นเทพธิดาในความเชื่อของชาวไทยและชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมเกษตรกรรมที่ผูกพันกับการปลูกข้าวมายาวนาน มีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการนับถือในฐานะเทพผู้ปกปักรักษา ข้าว ซึ่งถือเป็นพืชหลักและเป็นหัวใจของวิถีชีวิตชาวนา
มักปรากฏในรูปลักษณ์ของหญิงสาวสวย สวมเครื่องแต่งกายแบบไทยโบราณ
มีรวงข้าวอยู่ในมือ หรือกำลังโปรยข้าว
บางภาพปรากฏพระแม่โพสพยืนอยู่ในทุ่งนา หรือยืนบนดอกบัว
บทบาท รายละเอียด
เทพีแห่งข้าว คุ้มครองรวงข้าวและผลผลิตทางการเกษตร
ผู้นำความอุดมสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง อาหารบริบูรณ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวนา มีพิธีบูชาพระแม่โพสพก่อนฤดูปลูกข้าว หรือเมื่อเก็บเกี่ยว
พิธีแฮกขวัญแม่โพสพ : พิธีรับขวัญแม่โพสพในช่วงเริ่มฤดูปลูกข้าว เพื่อขอให้เกิดผลผลิตดี
พิธีบวงสรวงก่อนเกี่ยวข้าว : ขอบคุณพระแม่โพสพที่คุ้มครองให้ข้าวเจริญงอกงาม
วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ : จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยกย่องความสำคัญของพระแม่โพสพและชาวนา
พระยายมราม หรือที่มักเรียกกันว่า พระยม หรือ พญายมราช (บาลี: ยมมราชา, สันสกฤต: Yama) เป็นเทพเจ้าแห่งความตายและผู้พิพากษาในโลกหลังความตาย ตามคติในศาสนาฮินดู พุทธ และคติไทยประเพณี มีบทบาทสำคัญในด้านการตัดสินวิญญาณของผู้ตาย ว่าจะไปสู่สุขติ (สวรรค์) หรือทุคติ (นรก)
ด้าน รายละเอียด
ฐานะ เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้ปกครองยมโลก
สีผิว สีดำหรือเขียวคล้ำ (แสดงถึงความเคร่งขรึม)
พาหนะ ควาย (หรือกระบือ)
อาวุธ ตะบอง หรือ กระบองเหล็ก และบ่วงยม (ใช้จับวิญญาณ)
บริวาร พญายมบาล และนายนิริยบาล (ผู้ควบคุมนรก)
ผู้พิพากษาแห่งวิญญาณ
หลังจากคนตาย วิญญาณจะถูกนำมาต่อหน้าพระยายมรามเพื่อตรวจสอบกรรมดีกรรมชั่ว
ถ้าทำดี จะได้ไปสู่สุคติ / ถ้าทำชั่ว จะถูกส่งไปยังขุมนรกตามลำดับ
ตัวแทนแห่งความยุติธรรม
พระยายมรามไม่ใช่เทพผู้โหดร้าย แต่เป็นผู้ถือธรรมะ มีหน้าที่ปกครองให้เกิดความเป็นธรรม
ปรากฏในวรรณคดีไทย
เช่นใน เรื่องพระมาลัย ที่เดินทางไปยมโลกเพื่อเตือนมนุษย์ให้ทำความดี
ในวันสำคัญ เช่น วันสารทไทย หรือ บุญเดือนสิบ ชาวบ้านจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ เพราะเชื่อว่าวิญญาณจะถูกปล่อยจากนรกมารับส่วนบุญ
บางภูมิภาคมีประเพณี แห่พญายม เช่น จังหวัดตราด เพื่อขอขมาลาโทษ และแสดงถึงความตระหนักในกรรม
"สุวรรณ" และ "สุวาน" ในบริบทของ ยมโลก เป็นชื่อที่มีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายฉบับ โดยเฉพาะใน พระมาลัยคำหลวง และเรื่องเล่าพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน ซึ่งทั้งสองมักมีบทบาทในฐานะ บริวารของพระยายมราช และเกี่ยวข้องกับการพาวิญญาณไปฟังคำพิพากษา
มักถูกกล่าวว่าเป็นบริวารฝ่ายขวาของพระยายมราช
ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การพาวิญญาณที่ทำบุญมาก ไปสู่สวรรค์ หรือเตรียมเข้าสู่การพิพากษาโดยสงบ
ลักษณะในวรรณกรรม: ใส่ชุดสีทอง รูปงาม สุภาพ ท่าทางสงบ
เป็นบริวารฝ่ายซ้ายของพระยายมราช
ทำหน้าที่พาวิญญาณที่ มีกรรมหนัก หรือเคยทำชั่ว ไปยังนรก หรือเฝ้ารอรับโทษ
ลักษณะในวรรณกรรม: มักปรากฏรูปลักษณ์ดุดัน ถืออาวุธ มีสีเข้ม หรืออยู่ในลักษณะสุนัขนรก (ในบางตำนานเปรียบเสมือนยมทูตรูปหมา)
“…มี สุวรรณ กับ สุวาน เป็นสองทหารข้างขวาซ้ายของท้าวพระยายมราช คอยคุมวิญญาณเข้าสู่พิพากษา…”
ชื่อ หน้าที่ คุณลักษณะ เปรียบเทียบ
สุวรรณ คุมวิญญาณผู้ทำความดี สงบ งาม สว่าง ทางสวรรค์/บุญ
สุวาน คุมวิญญาณผู้ทำบาป ดุดัน มืด น่ากลัว ทางนรก/บาป
นิรยบาล (อ่านว่า นิ-ระ-ยะ-บาน) คือ เทวะหรือตัวแทนแห่งนรกผู้มีหน้าที่ลงโทษผู้กระทำบาปในยมโลก ตามความเชื่อในพุทธศาสนาแบบเถรวาทและในวรรณคดีไทย โดยเฉพาะในเรื่อง พระมาลัย และ ไตรภูมิพระร่วง
ความหมายและบทบาทของนิรยบาล
หัวข้อ รายละเอียด
นิยาม เทวะผู้ลงทัณฑ์ผู้มีบาปกรรมในนรก
ที่มา มาจากภาษาบาลี “นรก” + “บาล” (ผู้ปกครองหรือควบคุม)
ลักษณะ มักมีรูปร่างน่ากลัว ถืออาวุธ เช่น ง้าว หอก ตะบอง มีเขี้ยว เล็บยาว
หน้าที่ ทรมานและลงโทษวิญญาณผู้ทำบาป ตามแรงกรรมของแต่ละคน
สถานที่ทำงาน นรกภูมิ เช่น สัญชีพนรก อุสสุทนรก สังฆาฏนรก ฯลฯ
เครื่องมือทรมาน ไฟ ตะบอง เหล็กร้อน เลื่อย ลิ่ม ท่อนไม้ ตะปู ฯลฯ
บาปกรรม โทษในนรก วิธีลงโทษของนิรยบาล
ฆ่าสัตว์ ถูกฟัน ตัด หั่น เป็นชิ้น ใช้เลื่อยหรือมีดตัดซ้ำ ๆ
พูดโกหก ปากไหม้ ไฟลุกจากลิ้น ดึงลิ้นแล้วเทน้ำมันเดือดลงไป
คดโกง ถูกจับกรอกโลหะหลอม ใช้เหล็กร้อนใส่ปากหรือลำตัว
ดื่มสุรา ถูกกรอกน้ำเหล็กเดือด นิรยบาลจับกรอกลงคอ
พระมาลัยโปรดสัตว์ – กล่าวถึงนิรยบาลหลายตนพาผู้ทำบาปไปลงโทษ
ไตรภูมิพระร่วง – อธิบายชั้นนรกและการลงโทษโดยนิรยบาลอย่างละเอียด
เทพพื้นบ้านและผีบรรพบุรุษในความเชื่อของไทย เป็นระบบความเชื่อที่มีรากลึกในวิถีชีวิตชาวบ้าน มีทั้งเทพเจ้า ผู้คุ้มครอง วิญญาณบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและท้องถิ่น ซึ่งมีอิทธิพลสูงต่อพิธีกรรม ประเพณี และความเชื่อท้องถิ่นต่าง ๆ
เทพพื้นบ้านไทยมักเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ และการเกษตร:
เทพ/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่/ความเชื่อ
พระแม่โพสพ เทพีแห่งข้าว เชื่อว่าปกปักรักษาไร่นา ถ้าทำผิดพิธีจะทำให้ข้าวเสีย
แม่คงคา เทพีแห่งน้ำ เชื่อว่าต้องบูชาก่อนใช้แม่น้ำ เช่น ลอยกระทง
พระพาย เทพแห่งลมและพายุ ในบางภาคเชื่อว่าทำให้เกิดลมพัดแรง
เจ้าพ่อเขาใหญ่ / เจ้าป่าเจ้าเขา วิญญาณผู้คุ้มครองป่า เชื่อว่าต้องขอขมาก่อนเข้าไปในป่า
เจ้าแม่ทับทิม / เจ้าแม่กวนอิม (แบบผสมจีน) เป็นที่เคารพในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะชาวเรือและการค้าขาย
ความเชื่อเรื่องผีมีบทบาทในการรักษาสมดุลของครอบครัวและชุมชน:
ผี / วิญญาณ ความเชื่อ
ผีเรือน วิญญาณบรรพบุรุษผู้ดูแลบ้านเรือน ต้องไหว้เป็นประจำ
ผีปู่ย่า วิญญาณผู้สูงอายุในตระกูลที่ล่วงลับไปแล้ว ถือเป็นผู้ให้โชค
ผีเจ้าที่ วิญญาณที่ดูแลพื้นที่ เชื่อว่าต้องตั้งศาลพระภูมิให้
ผีฟ้า ในภาคอีสาน เชื่อว่าเป็นผีที่ให้พรและรักษาโรค
ผีเปรต / ผีกระสือ / ผีกะ ผีที่มีตำนานสอนใจ เช่น เปรต = คนบาป, กระสือ = ผู้หญิงผิดศีลธรรม
พิธีกรรม จุดประสงค์
ไหว้ผีบ้านผีเรือน เพื่อขอพร ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
บวชผี ในภาคเหนือ เป็นพิธีที่ให้ลูกหลานรับผิดชอบดูแลวิญญาณบรรพบุรุษ
บายศรีสู่ขวัญ เรียกขวัญกลับมา มีผีเป็นสื่อกลางตามความเชื่อ
ลอยกระทง / สงกรานต์ สื่อถึงการขอขมาแม่น้ำ-เจ้าที่
เซ่นไหว้ก่อนทำไร่ไถนา ขอขมาพระแม่ธรณี-พระแม่โพสพ
รุกขเทวดา เป็น เทวดาประจำต้นไม้ ตามความเชื่อของศาสนาพุทธและพราหมณ์ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมไทย ลาว เขมร และอินเดีย ซึ่งเชื่อว่าต้นไม้แต่ละต้น โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่หรือศักดิ์สิทธิ์ จะมีเทวดาอาศัยอยู่ เรียกว่า "รุกขเทวดา" (จากคำว่า “รุกข” = ต้นไม้)
คุณลักษณะ รายละเอียด
ที่อยู่ ต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นตะเคียน ต้นยาง
รูปร่าง มักปรากฏในรูปเทวดา/นางฟ้า มีรัศมี สวมเครื่องทรงไทยโบราณ หรือบางครั้งแปลงกายเป็นมนุษย์
หน้าที่ ปกปักรักษาต้นไม้และบริเวณโดยรอบ, ให้พรผู้เคารพบูชา
เครื่องเซ่น น้ำดื่ม, ดอกไม้, ธูปเทียน, ผลไม้, ผ้าแพรสามสี
ห้ามโค่นต้นไม้ใหญ่โดยไม่ขอขมา เพราะอาจทำให้รุกขเทวดาโกรธแล้วเกิดอาเพ
การผูกผ้าแพรสามสีที่ต้นไม้ เป็นการแสดงความเคารพต่อรุกขเทวดา
ก่อนตัดต้นไม้ ให้นำเครื่องเซ่นไปขอขมา และกล่าวคำว่า
"ขอขมารุกขเทวดา ขออนุญาตทำการใดๆ อย่าได้โกรธเคืองเลย"
นางตานี
เป็นหนึ่งในผีพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงมากในวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะในภาคกลาง ลักษณะของนางตานีคือเป็นผีผู้หญิงที่สิงอยู่ในต้นกล้วยตานี โดยเฉพาะต้นที่ไม่เคยออกปลีหรือผลมาก่อน
เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม ผิวขาวนวล แต่งกายด้วยชุดไทยโบราณสีเขียว หรือเขียวอ่อน
มักปรากฏตัวในเวลากลางคืน โดยเฉพาะคืนเดือนเพ็ญ
สิงอยู่ในต้นกล้วยตานีที่ยังไม่เคยออกปลี
มีนิสัยอาฆาตแค้นหากถูกหักหลังหรือทำให้เสียใจ
คนโบราณเชื่อว่านางตานีเป็นผีใจดี ไม่ทำร้ายคนหากไม่ถูกรบกวน
ถ้าผู้ชายล่วงเกินแล้วไม่รักษาสัญญา เช่น สัญญาว่าจะรักแต่ไม่ทำตาม นางอาจตามหลอกหลอน
มักมีการตั้งศาลหรือเครื่องบูชาหน้าต้นกล้วยเพื่อขอขมาหรือขอโชคลาภ
ใช้หมากพลู บุหรี่ ดอกไม้ ธูป 5 ดอก
มักใช้ขอหวย โชคลาภ หรือให้ช่วยเรื่องความรัก
นางตานีมักปรากฏในนิทานพื้นบ้าน การ์ตูน หนังผี และหนังตลก เช่น “บ้านผีปอบ”, “ผีไทย”
บางเรื่องทำให้นางตานีกลายเป็นตัวละครตลก หรือมีภาพลักษณ์คล้าย ฮีโร่ผีสาว
“แม่นาคพระโขนง” เป็นตำนานผีพื้นบ้านไทยที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ตำนานนี้ได้รับการเล่าขาน ปรับเปลี่ยน และนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร และการ์ตูนมากมาย โดยมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับความรัก ความซื่อสัตย์ และความผูกพันแม้ในยามที่ความตายมาพราก
แม่นาค เป็นหญิงสาวสวยที่อาศัยอยู่ที่พระโขนง เธอมีสามีชื่อ “มาก” ซึ่งถูกเกณฑ์ไปรับราชการทหาร ระหว่างที่มากไม่อยู่ แม่นาคตั้งครรภ์และเสียชีวิตขณะคลอดลูก ด้วยความรักและอาลัยในสามี วิญญาณของแม่นาคจึงไม่ไปไหน ยังคงรอคอยอยู่ที่บ้าน
เมื่อพี่มากกลับมา ก็พบว่าภรรยาของตนยังอยู่รอตนเหมือนเดิม แต่คนในหมู่บ้านกลับหวาดกลัวและเตือนว่าแม่นาคตายไปแล้ว ซึ่งมากไม่เชื่อ กระทั่งเหตุการณ์บางอย่างเปิดเผยความจริง เช่น ตอนที่แม่นาคเอื้อมมือยาวผิดธรรมชาติไปเก็บของตกข้างใต้เรือน
พี่มากตกใจและหนีออกจากบ้าน แม่นาคโกรธและเศร้าใจ วิญญาณของเธอหลอกหลอนชาวบ้านจนไม่มีใครกล้าอยู่บริเวณนั้น สุดท้ายมีพระเกจิอาจารย์ (เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ในบางเวอร์ชัน) มาโปรดให้แม่นาคยอมไปเกิดใหม่ด้วยความสงบ
วัดมหาบุศย์ (วัดแม่นาคพระโขนง): ตั้งอยู่ในเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมไปกราบไหว้แม่นาค เพื่อขอพรเรื่องความรัก การขอลูก หรือให้ปลอดภัยจากการเดินทางไกล
ความรักที่มั่นคง แม้แต่ความตายก็ไม่อาจพรากจาก
การยึดติดในอดีตและการไม่ปล่อยวาง
ความเชื่อเรื่องวิญญาณและการเวียนว่ายตายเกิด
อิทธิพลของผีต่อวิถีชีวิตชาวบ้านไทยในอดีต
💡 ศาลย่านาค วัดมหาบุศย์
สุขุมวิท 77 ซอยอ่อนนุช 7 แขวงสวนหลวง กรุงเทพฯ
การเดินทาง : รถยนต์ หรือ BTSลงสถานีอ่อนนุช ต่อมอร์เตอร์ไซด์ รถแท๊กซี่ หรือรถสองเข้าไปที่วัด
เปิดให้เข้าระหว่างเวลา 07.30-17.30 น.
ทางศาลมีชุดสำหรับไหว้ไว้จุดธูป 2 ดอก เทียน 1 เล่ม เลือกพวงมาลัยหรือดอกไม้ จุดธูป เทียนด้านล่างของศาลแล้วถึงขึ้นไปแปะแผ่นทองที่ย่านาคด้านบน
• ห้าม ปิดทองที่ใบหน้า ที่ดวงตา และริมฝีปาก
• ห้าม เทน้ำมันจันที่องค์ย่านาค ให้ปิดทองขอพรย่านาคที่ฝ่ามือ
• ห้าม พรมน้ำอบ และรดน้ำย่านาค
“กุมารทอง” และ “รัก‑ยม” เป็นเครื่องรางของขลังประเภทกุมารมนต์ของไทย:
กุมารทอง
เป็นวิญญาณเด็กผู้ชายที่ศรัทธาเชื่อว่าสิงอยู่ในตุ๊กตาหรือหุ่นทองเหลือง
เกิดจากความเชื่อเรื่องวิญญาณเด็กตายทั้งกลมหรือปรุงจากดิน ไม้ โลหะ ผ่านพิธีปลุกเสก
จัดตั้งบนหิ้งบูชา บูชาโดยถวายข้าว น้ำแดง และมีพิธีเรียกพวกเขาในการช่วยคุ้มครองโชคลาภและปัดเป่าอันตราย
เป็นกุมารทอง 2 ตนที่ทำจากไม้ แบ่งเป็น “รัก” (แกะจากต้นรัก พ่นสีดำ) และ “ยม” (จากต้นมะยม สีขาว)
ผลิตโดยพวกไม้น้อย เช่น รากตายพราย แกะเป็นรูปเด็กจุก แล้วทำพิธีปลุกเสกกับน้ำมันหอม เช่น น้ำมันจันทน์ ให้นิมิตว่าลุกขึ้นขยับได้
เลี้ยงใส่ขวดแก้ว มีน้ำมันหอมหรือจันทน์ เป็นของเหลวเพื่อชีวิต ให้น้ำมันไม่แห้ง ดูแลโดยเซ่นข้าว น้ำ ของเล่น พูดคุยเรียกใช้เมื่อต้องการให้ช่วยเฝ้า ปกป้อง หรือให้โชคลาภ
ประเด็น กุมารทอง รัก‑ยม
วัตถุดิบ วิญญาณเด็ก (ศรัทธาเชื่อว่าอาจมาจากเด็กตายในครรภ์) หรือแบบจำลอง แกะจากไม้ต้นรัก/ต้นมะยม
ร่างกาย ตุ๊กตาหรือหุ่นทองเหลือง ลงรักปิดทอง ตุ๊กตาไม้ใส่ขวด แช่น้ำมันหอม
จำนวน หนึ่งตนต่อหนึ่งหิ้ง สองตน — “รัก” สีดำ และ “ยม” สีขาว
พิธีปลุกเสก ผ่านคาถาอาคม ปลุกให้มีวิญญาณ ปลุกเสกจนเห็นนิมิตว่าวิ่งเต้น
วิธีบูชา วางหิ้ง บูชา ประเคนข้าว น้ำ ของเล่น เก็บในขวด เติมน้ำมัน เซ่นข้าว น้ำ ของเล่น เรียกชื่อ ใช้งานเมื่ออยู่นอกสถานที่
กุมารทอง เชื่อว่าสิงสถิตย์ในหุ่นหรือตุ๊กตาที่ปิดทอง
รัก‑ยม เป็นเครื่องรางประเภทไม้แกะ บรรจุในขวดแช่น้ำมันศักดิ์สิทธิ์
ทั้งคู่ต้องมีพิธีปลุกเสก และมีพิธีบูชาโดยเฉพาะ แต่กุมารทองมักตั้งหิ้งในบ้าน ขณะที่รัก‑ยมพกพาได้ในขวดเล็กๆ
ผีตาโขน เป็นประเพณีพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเลย โดยเฉพาะที่ อำเภอด่านซ้าย จัดขึ้นในงานบุญหลวงและงานบุญพระเวส เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่มีทั้งความสนุกสนานและความเชื่อทางศาสนา
ผีตาโขน มีลักษณะคล้ายภูติผีหรือตัวตลก สวมหน้ากากขนาดใหญ่ ทำจาก ทางมะพร้าว กระบอกไม้ไผ่ และหมวกที่ทำจากกระด้ง มีการตกแต่งสีสันฉูดฉาด
เชื่อกันว่าเป็น ดวงวิญญาณหรือผี ที่ตามพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับเมือง และมาแสดงความยินดี
บางความเชื่อมองว่าเป็นการ ขับไล่สิ่งไม่ดี และบูชาผีบรรพบุรุษ
องค์ประกอบ รายละเอียด
หน้ากากผีตาโขน ทำจากไม้ไผ่ กระบอกข้าวหลาม และทางมะพร้าว
การแต่งกาย เสื้อผ้าหลากสี ตกแต่งให้ดูแปลกตา
การแสดง เดินขบวน เต้นรำ เล่นตลก ประกอบเสียงกลอง กรับ ฯลฯ
งานเทศกาล จัดช่วงเดือน มิถุนายน–กรกฎาคม ของทุกปี
งานผีตาโขนไม่ใช่เพียงความสนุกเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของ งานบุญหลวง ซึ่งประกอบด้วยการเทศน์มหาชาติ การแห่พระเวสสันดร และพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อส่งเสริมบุญกุศลและความสามัคคีในชุมชน
“กระสือ กระหัง ปอป” เป็นผีพื้นบ้านที่รู้จักกันดีในวัฒนธรรมไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแต่ละตนมีลักษณะเฉพาะและความเชื่อที่แตกต่างกัน ดังนี้:
ลักษณะ: หญิงสาวที่มีเพียงหัวกับไส้ลอยได้ มักเรืองแสงสีแดงในยามค่ำคืน
พฤติกรรม: ออกหากินตอนกลางคืน ชอบกินของคาวเลือด เช่น ไส้สัตว์ เลือดเด็กอ่อน หรือสิ่งสกปรก
ความเชื่อ: เกิดจากผู้หญิงที่เรียนวิชาอาคมผิดพลาด หรือถูกสาป ส่งต่อกันทางพันธุกรรม
สัญญาณบอกว่าอยู่ใกล้: มีแสงเรืองๆ สีแดง หรือกลิ่นคาวเลือด
ลักษณะ: ผู้ชายที่ใช้ใบพัดจากกิ่งตาลผูกแขนและขาเพื่อบินได้ มักใส่ผ้าขาวม้า
พฤติกรรม: ลักลอบกินของคาวจากบ้านคน เช่น ซากสัตว์หรือข้าวปลาอาหารที่มีเลือด
ความเชื่อ: มักเป็นผู้ชายเล่นของแล้วผิดพลาด ใช้เวทมนตร์ผิดทาง
ลักษณะเด่น: บินเสียงดังพึ่บพั่บกลางคืน ใช้ครกหรือกระบวยเป็นพาหนะลอยฟ้า
ลักษณะ: วิญญาณที่สิงอยู่ในคน ก่อให้เกิดพฤติกรรมแปลกๆ เช่น กินของดิบ เลือด เครื่องในสัตว์
พฤติกรรม: แฝงตัวอยู่ในร่างมนุษย์ ก่อให้เกิดโรคภัย หรือทำให้เจ้าของร่างดูอ่อนแอ
ความเชื่อ: วิญญาณของหมอผี หรือถูกส่งเข้าสิงโดยคนเล่นของ
พิธีไล่ผีปอป: ใช้หมอผีทำพิธี “ไล่ปอป” ด้วยบทสวดและเครื่องไหว้
“ผีพราย” เป็นหนึ่งในผีพื้นบ้านไทยที่มีลักษณะเฉพาะ และเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องวิญญาณที่สิงอยู่ในธรรมชาติหรือวัตถุ โดยเฉพาะในสิ่งของหรือในน้ำ ลักษณะของผีพรายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น ดังนี้:
ผีพรายในน้ำ
มักเป็นวิญญาณของหญิงสาวที่เสียชีวิตในน้ำ เช่น จมน้ำตาย มักจะปรากฏตัวในลักษณะผู้หญิงผมยาว ใบหน้าซีดขาว อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ คูคลอง ห้วยหนอง
ผีพรายในของใช้
เชื่อว่าผีพรายสามารถสิงอยู่ในวัตถุบางอย่าง เช่น ไม้ (เช่น “รากตายพราย”) หรือเครื่องราง มีความสามารถในการสื่อสาร บอกเหตุ หรือนำโชคลาภ
ผีพรายที่เลี้ยงไว้
ในบางความเชื่อ “พราย” คือวิญญาณที่ถูกเรียกมาใช้งาน เช่น ช่วยเตือนภัย หรือบอกเลขเด็ด นิยมใส่ไว้ในขวด มีน้ำมันหอม เรียกว่า “พรายกระซิบ” หรือ “พรายให้โชค”
การปลุกพราย: ใช้คาถาเรียกวิญญาณจากรากไม้ตายพรายหรือโลงศพที่ยังไม่เน่า
เลี้ยงพราย: โดยให้น้ำมันจันทน์ น้ำหวาน ข้าว และพูดคุยเหมือนเลี้ยงกุมาร
ใช้พรายให้โชค: โดยการจุดธูปอธิษฐานขอเลข หรือให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง
“ผีหัวขาด” เป็นหนึ่งในผีพื้นบ้านที่ปรากฏในความเชื่อและเรื่องเล่าของไทย โดยมักมีลักษณะเฉพาะคือ “ไม่มีศีรษะ” แต่ยังคงสามารถเคลื่อนไหว หรือแม้แต่เปล่งเสียงร้องได้ บางครั้งอาจถือศีรษะตนเองไว้ หรือศีรษะลอยตามลำตัวไปด้วย
ไม่มีศีรษะ หรือบางตำนานศีรษะลอยได้
มักปรากฏตัวในเวลากลางคืน
ชอบหลอกหลอนคนที่เดินทางคนเดียวในที่เปลี่ยว
บางตำนานเชื่อว่าเป็นวิญญาณของทหารที่ถูกประหาร หรือนักโทษที่ตายผิดธรรมชาติ
มักใช้เตือนใจไม่ให้ประพฤติผิด หรือไปยังที่ต้องห้าม
เชื่อว่าเป็นวิญญาณทุกข์ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ต้องการให้คนรู้ว่าเขาตายอย่างไร
ในบางพื้นที่มีการทำพิธีสะเดาะเคราะห์หรือเชิญออกไปจากพื้นที่