วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2567
ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) เป็นก๊าซในบรรยากาศที่สามารถดูดซับและปล่อยรังสีความร้อน (อินฟราเรด) จากพื้นผิวโลกได้ ซึ่งกระบวนการนี้มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลความร้อนในชั้นบรรยากาศของโลก โดยปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (Greenhouse Effect) ก๊าซเรือนกระจกช่วยทำให้โลกอบอุ่นในระดับที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต แต่หากมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming)
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)
แหล่งที่มา: การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมันและถ่านหิน) การตัดไม้ทำลายป่า และกระบวนการทางอุตสาหกรรม
มีผลกระทบ: ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากที่สุดเนื่องจากมีปริมาณในบรรยากาศสูง
มีเทน (CH₄)
แหล่งที่มา: การทำเกษตรกรรม เช่น การปลูกข้าว การเลี้ยงปศุสัตว์ การย่อยสลายขยะมูลฝอย และการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ
มีผลกระทบ: มีประสิทธิภาพในการกักเก็บความร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า แม้จะมีปริมาณน้อยกว่า
ไนตรัสออกไซด์ (N₂O)
แหล่งที่มา: การใช้ปุ๋ยไนโตรเจน การเผาไหม้เชื้อเพลิง และกระบวนการอุตสาหกรรม
มีผลกระทบ: กักเก็บความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 298 เท่า
ก๊าซฟลูออริเนต (Fluorinated Gases)
แหล่งที่มา: กระบวนการอุตสาหกรรมและสารทำความเย็น
มีผลกระทบ: มีความสามารถในการกักเก็บความร้อนได้สูงมากและคงอยู่ในบรรยากาศนานกว่าก๊าซชนิดอื่น
แสงอาทิตย์ (Solar Radiation) ส่องมาถึงพื้นผิวโลกในรูปของรังสีคลื่นสั้น (Shortwave Radiation)
พื้นผิวโลกดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์และปล่อยความร้อนกลับออกมาในรูปของรังสีอินฟราเรด (Infrared Radiation)
ก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศดูดซับรังสีอินฟราเรดและปล่อยพลังงานบางส่วนกลับมายังพื้นผิวโลก ทำให้เกิดการสะสมความร้อนและทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น
ภาวะโลกร้อน (Global Warming): อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลก เช่น ฝนตกหนัก พายุเพิ่มขึ้น และอากาศแปรปรวน
การละลายของธารน้ำแข็ง (Glacier Melting): ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งและพื้นที่ชุมชน
การใช้พลังงานทดแทน: เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ
การเพิ่มพื้นที่สีเขียว: ปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าไม้เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์
การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีในอุตสาหกรรม: เพื่อลดการปล่อยก๊าซจากโรงงาน
การใช้เทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture): ดักจับและเก็บกักคาร์บอนจากแหล่งกำเนิด
การเข้าใจและจัดการปัญหาก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและรักษาสมดุลทางธรรมชาติของโลกในระยะยาว
เทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) เป็นกระบวนการในการดักจับ กักเก็บ และกักกันคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิด เช่น โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม หรือกระบวนการผลิตต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ก๊าซเรือนกระจกนี้เข้าสู่บรรยากาศและก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน กระบวนการ CCS เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ได้รับการพัฒนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับอุตสาหกรรม
การดักจับคาร์บอน (Carbon Capture)
ขั้นตอนแรกคือการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิด เช่น โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือโรงงานปูนซีเมนต์ โดยสามารถทำได้ 3 วิธีหลัก:
Post-combustion: ดักจับ CO₂ จากก๊าซไอเสียที่ปล่อยออกมาหลังการเผาไหม้เชื้อเพลิง (เช่น การใช้ตัวทำละลายแบบอะมีนเพื่อดูดซับ CO₂)
Pre-combustion: ดักจับ CO₂ ก่อนการเผาไหม้ โดยการเปลี่ยนเชื้อเพลิงให้กลายเป็นก๊าซ (Gasification) เช่น เปลี่ยนถ่านหินให้กลายเป็นก๊าซไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นแยก CO₂ ออกมา
Oxy-fuel combustion: การเผาไหม้ในสภาวะที่ใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ ซึ่งทำให้ไอเสียที่ได้มีปริมาณ CO₂ สูง ง่ายต่อการแยกกักเก็บ
การขนส่งคาร์บอน (Carbon Transportation)
เมื่อต้องการขนส่ง CO₂ ที่ถูกดักจับไปยังพื้นที่กักเก็บ (เช่น แหล่งน้ำมันและก๊าซที่ถูกใช้หมดแล้วหรือชั้นหินใต้ดิน) สามารถใช้วิธีการขนส่งผ่านท่อส่งก๊าซ (Pipeline) หรือเรือบรรทุกในรูปของของเหลว
การขนส่งทางท่อเป็นวิธีการที่นิยมมากที่สุด โดยท่อจะต้องถูกออกแบบให้ทนต่อความดันและความเข้มข้นของ CO₂
การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Storage)
ขั้นตอนนี้คือการฉีด CO₂ ที่ถูกขนส่งเข้าไปในชั้นหินใต้ดินที่มีความมั่นคง (เช่น ชั้นหินทรายหรือชั้นหินบะซอลต์) โดยต้องอยู่ลึกลงไปหลายร้อยถึงหลายพันเมตรใต้พื้นดิน
สถานที่ที่ใช้ในการกักเก็บ CO₂ มักจะเป็นพื้นที่ที่เคยมีการขุดเจาะน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ หรือแหล่งเกลือใต้ดิน (Saline Aquifers) ที่มีความสามารถในการกักเก็บก๊าซได้อย่างมั่นคง
การกักเก็บ CO₂ ในชั้นใต้ดินสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่:
การกักเก็บในชั้นหินกักเก็บน้ำเกลือ (Saline Aquifers)
ชั้นหินที่มักจะอยู่ลึกมากและเต็มไปด้วยน้ำเกลือ ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นแหล่งน้ำดื่มได้ การฉีด CO₂ ลงในชั้นหินเหล่านี้สามารถทำให้ CO₂ ทำปฏิกิริยากับน้ำเกลือและกลายเป็นของแข็งได้
การกักเก็บในแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ถูกใช้หมด (Depleted Oil and Gas Reservoirs)
แหล่งกักเก็บที่เคยเป็นที่สะสมของน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติและถูกใช้หมดแล้วสามารถนำมาใช้ฉีด CO₂ เพื่อการกักเก็บได้ และยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำมัน (Enhanced Oil Recovery: EOR) โดยการทำให้แรงดันภายในเพิ่มขึ้น
การกักเก็บในชั้นหินบะซอลต์ (Basalt Formation)
ชั้นหินบะซอลต์มีความสามารถในการทำปฏิกิริยากับ CO₂ ทำให้เกิดการตกผลึกเป็นแร่คาร์บอเนต (Carbonate Minerals) ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ CO₂ กลายเป็นของแข็งและคงตัวอยู่ในชั้นหินนั้น ๆ
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
CCS เป็นเทคโนโลยีที่สามารถลดการปล่อย CO₂ จากโรงงานและอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสามารถช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ประโยชน์ในการผลิตน้ำมันเพิ่มเติม
การฉีด CO₂ ในแหล่งน้ำมันที่ถูกใช้หมดแล้วสามารถช่วยดันน้ำมันที่หลงเหลืออยู่ออกมาได้ (Enhanced Oil Recovery: EOR) ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน
การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด
CCS สามารถทำงานร่วมกับพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อให้กระบวนการผลิตพลังงานสามารถปล่อย CO₂ ในระดับที่เป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
ต้นทุนสูง
กระบวนการดักจับ ขนส่ง และกักเก็บคาร์บอนมีต้นทุนสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ในการลดก๊าซเรือนกระจก
ความเสี่ยงในการรั่วไหล
หากมีการรั่วไหลของ CO₂ จากแหล่งกักเก็บ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของมนุษย์
ความไม่แน่นอนในระยะยาว
การกักเก็บ CO₂ ในชั้นใต้ดินมีความไม่แน่นอนในเรื่องความคงตัวของชั้นหินและโครงสร้างใต้ดิน ซึ่งอาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของ CO₂ ในระยะยาว
ในอนาคต CCS คาดว่าจะได้รับการพัฒนาและใช้งานมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ยากต่อการลดการปล่อย CO₂ (เช่น อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเหล็กกล้า) และในโครงการที่มุ่งสู่การผลิตพลังงานสะอาดเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในหลายประเทศ
คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) หมายถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของบุคคล กลุ่มคน หรือองค์กรในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปคาร์บอนฟุตพรินต์จะถูกคำนวณเป็นหน่วย ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (Tons of CO₂ Equivalent) ซึ่งนอกจากคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) แล้ว ยังรวมถึงก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น มีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ที่ถูกปล่อยออกมาในกระบวนการต่าง ๆ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การผลิตอาหาร การขนส่ง และการบริโภคสินค้า
คาร์บอนฟุตพรินต์ของบุคคล (Personal Carbon Footprint)
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันของบุคคล เช่น การขับรถ การใช้ไฟฟ้าในบ้าน การเดินทางด้วยเครื่องบิน และการบริโภคอาหาร
คาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (Product Carbon Footprint)
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การแปรรูป การขนส่ง การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์เมื่อหมดอายุ
คาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Corporate Carbon Footprint)
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต การดำเนินธุรกิจ และกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เช่น การใช้พลังงานในโรงงาน การขนส่งสินค้า และการเดินทางของพนักงาน
คาร์บอนฟุตพรินต์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขอบเขต (Scopes) ตามแนวทางของ Greenhouse Gas Protocol (GHG Protocol) เพื่อการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร ดังนี้:
Scope 1: การปล่อยโดยตรง (Direct Emissions)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมหรือแหล่งที่บริษัทหรือองค์กรสามารถควบคุมได้โดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานหรือยานพาหนะของบริษัท
Scope 2: การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions from Energy Use)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้า ความร้อน หรือการใช้พลังงานที่ได้จากการซื้อมา เช่น การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
Scope 3: การปล่อยทางอ้อมจากห่วงโซ่อุปทาน (Indirect Emissions from Value Chain)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น การผลิตวัตถุดิบ การขนส่ง การจัดการขยะ และการเดินทางของพนักงานหรือผู้บริโภค ซึ่งมักจะเป็นส่วนที่ประเมินได้ยากที่สุด
การใช้พลังงาน
การใช้พลังงานในบ้านหรืออาคารสำนักงาน เช่น การใช้ไฟฟ้าและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้า
การขนส่ง
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว รถบัส รถไฟ หรือเครื่องบิน ซึ่งเชื้อเพลิงที่ใช้จะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซ CO₂ สูง
อาหารและการบริโภค
การบริโภคเนื้อสัตว์ นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนสูง การปลูกพืช การใช้ปุ๋ย และการขนส่งอาหารก็มีผลต่อคาร์บอนฟุตพรินต์เช่นกัน
การผลิตและการจัดการของเสีย
กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมและการจัดการของเสียที่ไม่ถูกต้อง เช่น การทิ้งขยะอินทรีย์ในหลุมฝังกลบ สามารถทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์
การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์มักใช้วิธีการ การวิเคราะห์วงจรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA) เพื่อคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรม โดยใช้สูตรการคำนวณดังนี้:
คาร์บอนฟุตพรินต์=กิจกรรม×ค่าอัตราการปล่อยก๊าซ(EmissionFactor)
กิจกรรม: หมายถึงข้อมูลการใช้ทรัพยากร เช่น ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้
ค่าอัตราการปล่อยก๊าซ (Emission Factor): หมายถึงค่าที่ใช้แปลงกิจกรรมหนึ่ง ๆ ให้กลายเป็นปริมาณ CO₂ เทียบเท่า เช่น การใช้ไฟฟ้า 1 kWh อาจเทียบเท่ากับการปล่อย CO₂ 0.233 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานที่ใช้
การลดการใช้พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน
การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน
การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว
ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การใช้รถจักรยาน หรือการเดินเพื่อการเดินทางในระยะใกล้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค
การบริโภคอาหารที่มาจากพืชมากขึ้น (Plant-based Diet) ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ การลดการซื้อสินค้าใหม่ และการรีไซเคิล
การชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset)
การซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการปลูกป่า โครงการพลังงานหมุนเวียน เพื่อชดเชยการปล่อย CO₂ ของตนเอง
การลดคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากสามารถช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลก การละลายของธารน้ำแข็ง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้องค์กรและประเทศต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) และรักษาสิ่งแวดล้อมสำหรับคนรุ่นถัดไปได้อีกด้วย
การคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์ (Carbon Footprint) เป็นการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาในระหว่างกิจกรรมหรือกระบวนการต่าง ๆ ตลอดทั้งวงจรชีวิต (life cycle) ของผลิตภัณฑ์หรือองค์กร การคำนวณนี้จะช่วยให้ทราบถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการปรับปรุงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อกำหนดและแนวทางที่ใช้ในการคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์มีหลากหลายมาตรฐานสากลและระดับประเทศ เช่น มาตรฐาน ISO, GHG Protocol, และแนวทางการประเมินเฉพาะด้านอุตสาหกรรม ซึ่งรายละเอียดที่สำคัญมีดังนี้:
ISO 14067:2018
เป็นมาตรฐานสากลที่ระบุแนวทางการคำนวณและการรายงานคาร์บอนฟุตปรินท์ของผลิตภัณฑ์ โดยอิงตามหลักการ Life Cycle Assessment (LCA)
มุ่งเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้ และการกำจัดของเสีย
GHG Protocol
GHG Protocol (Greenhouse Gas Protocol) เป็นมาตรฐานสำหรับการคำนวณและการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร
แบ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ช่วง (Scopes):
Scope 1: การปล่อยก๊าซที่เกิดขึ้นโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงภายในองค์กร
Scope 2: การปล่อยก๊าซทางอ้อมจากการใช้พลังงาน เช่น การใช้ไฟฟ้าที่องค์กรซื้อมาจากแหล่งภายนอก
Scope 3: การปล่อยก๊าซทางอ้อมจากกิจกรรมอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์กร เช่น การขนส่ง การเดินทางของพนักงาน การผลิตของวัตถุดิบ
PAS 2050
เป็นมาตรฐานจากประเทศอังกฤษ ใช้สำหรับการคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์ของผลิตภัณฑ์ โดยเน้นการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle)
ใช้เป็นเครื่องมือในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน
ISO 14064-1:2018
เป็นมาตรฐานการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร (Organization Carbon Footprint)
ประกอบด้วยหลักการ วิธีการวัด การคำนวณ และการรายงานที่เป็นมาตรฐานสากล
กำหนดขอบเขตการประเมิน (Define Boundary)
ขอบเขตของการประเมินอาจเป็นผลิตภัณฑ์ (Product Footprint) หรือทั้งองค์กร (Organizational Footprint)
กำหนดว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะครอบคลุมถึง Scope ใดบ้าง (Scope 1, 2, หรือ 3)
การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ปริมาณการใช้พลังงาน การขนส่ง การใช้วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การเดินทางของพนักงาน ฯลฯ
ปัจจัยการปล่อย (Emission Factors) ซึ่งได้จากฐานข้อมูลมาตรฐาน เช่น IPCC หรือฐานข้อมูลท้องถิ่น
การคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Calculation)
ใช้สูตรพื้นฐานในการคำนวณ:
การปล่อยก๊าซ (CO₂e)=กิจกรรม (Activity Data)×ปัจจัยการปล่อย (Emission Factor)
คำนวณปริมาณการปล่อยของก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิด (CO₂, CH₄, N₂O) และเปลี่ยนเป็นหน่วยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e)
การรวบรวมและสรุปผล (Result Aggregation)
รวบรวมผลการคำนวณทั้งหมดและสรุปเป็นคาร์บอนฟุตปรินท์รวมทั้งผลิตภัณฑ์หรือองค์กร
การตรวจสอบความถูกต้อง (Verification)
การตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก (Third-party Verification) ตามมาตรฐานการตรวจสอบ เช่น ISO 14064-3 เพื่อให้มั่นใจว่าการประเมินถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ในประเทศไทย การคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์มักอ้างอิงตามแนวทางของ:
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
ให้การรับรองคาร์บอนฟุตปรินท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์
ใช้ฐานข้อมูลและปัจจัยการปล่อย (Emission Factors) ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทย
มาตรฐานคาร์บอนฟุตปรินท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint for Product; CFP)
ใช้ตามหลักการ ISO 14067 และ PAS 2050 โดยมีการปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศ
มีการวิเคราะห์วัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment: LCA) เพื่อคำนวณการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก
องค์กร: การคำนวณการปล่อยในองค์กรเพื่อกำหนดแนวทางลดการปล่อยและปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงาน
ผลิตภัณฑ์: การคำนวณในผลิตภัณฑ์ เช่น อาหาร บรรจุภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม เพื่อหาว่าช่วงใดในวัฏจักรชีวิตที่มีการปล่อยสูงสุด
กิจกรรมเฉพาะ: เช่น การคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์ของงานประชุม การเดินทาง หรือกิจกรรมทางการเกษตร
การคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์ช่วยให้องค์กรและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในด้านความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการกำหนดกลยุทธ์การจัดการคาร์บอนในระยะยาวอีกด้วย
การเก็บข้อมูลและการระบุแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission Sources) เป็นขั้นตอนสำคัญในการคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ กระบวนการนี้จะช่วยระบุว่าแหล่งที่มาของก๊าซเรือนกระจกมาจากกิจกรรมใดในองค์กรหรือผลิตภัณฑ์ รวมถึงการกำหนดขอบเขตการประเมินและการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถนำไปใช้วางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดขอบเขตการประเมิน (Boundary Setting)
กำหนดขอบเขตของการประเมิน เช่น ระดับผลิตภัณฑ์ (Product Carbon Footprint) หรือระดับองค์กร (Organizational Carbon Footprint)
ขอบเขตของการปล่อยก๊าซจะแบ่งออกเป็น:
การปล่อยโดยตรง (Direct Emission): ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากกระบวนการหรือกิจกรรมที่อยู่ในขอบเขตการควบคุมขององค์กร เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในหม้อไอน้ำ (Scope 1)
การปล่อยทางอ้อม (Indirect Emission): ก๊าซที่ปล่อยจากกิจกรรมภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน เช่น ไฟฟ้าที่ซื้อจากภายนอก (Scope 2) หรือการขนส่งวัตถุดิบและสินค้าที่อยู่นอกการควบคุมขององค์กร (Scope 3)
การระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission Sources Identification) แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถแบ่งออกได้ตามกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้:
แหล่งที่มาจากการผลิต (Production Emissions):
กระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น น้ำมันดีเซล แก๊สธรรมชาติ
กระบวนการทางเคมี เช่น การผลิตซีเมนต์ การหลอมโลหะ
การใช้พลังงาน (Energy Use):
การใช้ไฟฟ้าสำหรับการผลิต แสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ และการทำความร้อน
การใช้พลังงานเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งภายในองค์กร เช่น รถขนส่งในโรงงาน
การขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation and Logistics):
การขนส่งวัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูป และการเดินทางของพนักงาน
การเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Travel)
การจัดการของเสีย (Waste Management):
การจัดการขยะมูลฝอย การหมักปุ๋ย การเผาขยะ หรือการฝังกลบ
การบำบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment) ซึ่งอาจปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O)
กิจกรรมทางการเกษตร (Agriculture Emissions):
การปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
การปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์จากการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน
การใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ (Use of Sold Products):
การปล่อยก๊าซในขั้นตอนการใช้งานของผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องจักรที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
การเก็บข้อมูล (Data Collection) การเก็บข้อมูลควรทำอย่างเป็นระบบและครบถ้วนในแหล่งที่มาทุกประเภทของการปล่อยก๊าซ โดยมีข้อมูลหลักดังนี้:
ข้อมูลกิจกรรม (Activity Data):
ข้อมูลการใช้พลังงาน เช่น ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ปริมาณเชื้อเพลิง (ลิตร กิโลกรัม หรือ เมกะจูล)
ข้อมูลการขนส่ง เช่น ระยะทาง จำนวนการขนส่ง และประเภทของยานพาหนะ
ข้อมูลวัตถุดิบและวัสดุที่ใช้ในกระบวนการ เช่น ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ ปริมาณสารเคมีในกระบวนการผลิต
ข้อมูลการปล่อย (Emission Data):
ปริมาณการปล่อยของก๊าซแต่ละชนิด เช่น CO₂, CH₄, N₂O
ข้อมูลจากการตรวจวัดภาคสนาม (Field Measurement) หรือข้อมูลจากฐานข้อมูลมาตรฐาน
การเลือกปัจจัยการปล่อย (Emission Factors) ปัจจัยการปล่อยเป็นค่าเฉลี่ยที่บอกปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยของกิจกรรม (เช่น kg CO₂ per liter of fuel) ซึ่งสามารถหาได้จาก:
ฐานข้อมูลสากล เช่น IPCC, DEFRA, หรือ Ecoinvent
ฐานข้อมูลท้องถิ่น เช่น ข้อมูลจากการวิจัยภายในประเทศหรือการประเมินเฉพาะกรณีขององค์กร
การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission Calculation) ใช้สูตรการคำนวณพื้นฐานดังนี้:
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO₂e)=กิจกรรม (Activity Data)×ปัจจัยการปล่อย (Emission Factor)
ตัวอย่าง:
การคำนวณการปล่อย CO₂ จากการใช้ไฟฟ้า:
การปล่อย CO₂=ปริมาณการใช้ไฟฟ้า (kWh)×ปัจจัยการปล่อย (kg CO₂/kWh)
การจัดการและการตรวจสอบข้อมูล (Data Management and Verification)
ควรจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
การตรวจสอบข้อมูล (Verification) โดยบุคคลภายนอกหรือทีมงานภายใน เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ
ตัวอย่างองค์กรที่มีการผลิตและขนส่งสินค้า ควรระบุและเก็บข้อมูลจากแหล่งต่อไปนี้:
กระบวนการผลิต (Production Process):
ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในหม้อไอน้ำและเครื่องจักร
การปล่อยก๊าซจากกระบวนการทางเคมี (หากมี)
การใช้พลังงาน (Energy Use):
ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงาน
ปริมาณการใช้พลังงานในสำนักงานและสถานประกอบการอื่น ๆ
การขนส่ง (Transportation):
ข้อมูลการขนส่งวัตถุดิบและสินค้า เช่น ระยะทาง ประเภทของยานพาหนะ และเชื้อเพลิงที่ใช้
การเดินทางของพนักงานเพื่อปฏิบัติภารกิจ เช่น การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือเครื่องบิน
การจัดการของเสีย (Waste Management):
ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นและวิธีการจัดการ เช่น การเผา การหมัก หรือการฝังกลบ
การปล่อยก๊าซจากการบำบัดน้ำเสีย
การระบุและเก็บข้อมูลแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบจะช่วยให้องค์กรสามารถประเมินผลกระทบได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถวางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
การคำนวณการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions and Removals) เป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการจัดการปัญหาภาวะโลกร้อน โดยทั่วไปจะอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เช่น การคำนวณตามแนวทางของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งแบ่งเป็นหลายประเภทตามกิจกรรมต่าง ๆ โดยรายละเอียดมีดังนี้:
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดจากกิจกรรมหลายประเภท เช่น:
การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล: ได้แก่ การปล่อย CO₂, CH₄ และ N₂O จากการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่ง และการผลิตพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการตัดไม้ทำลายป่า: การเปลี่ยนแปลงนี้มักทำให้คาร์บอนถูกปลดปล่อยสู่บรรยากาศ เช่น การแผ้วถางป่าเพื่อการเกษตร
กระบวนการอุตสาหกรรมและการเกษตร: การผลิตซีเมนต์ การหมัก การผลิตอาหาร และการเลี้ยงสัตว์มักปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O)
การดูดกลับก๊าซเรือนกระจกเป็นการเก็บกักคาร์บอนในแหล่งต่าง ๆ เช่น:
ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว: ป่าไม้และพืชสามารถดูดซับ CO₂ จากบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งคาร์บอนจะถูกกักเก็บในชีวมวล (biomass) เช่น ลำต้น ใบ และราก
ดิน: ดินสามารถกักเก็บคาร์บอนในรูปของสารอินทรีย์
การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ: พื้นที่ชุ่มน้ำและพรุสามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้ในระยะยาว
การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมักใช้สูตรพื้นฐาน คือ
การปล่อยก๊าซ=กิจกรรม (เช่น ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้)×ปัจจัยการปล่อย (Emission Factor
ตัวอย่างเช่น การคำนวณการปล่อย CO₂ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิง จะใช้ข้อมูลปริมาณการใช้เชื้อเพลิง (เช่น น้ำมันดีเซล) และคูณกับปัจจัยการปล่อย (เช่น kg CO₂ / L) ซึ่งปัจจัยการปล่อยอาจได้จากฐานข้อมูลมาตรฐานหรือรายงานการวิจัย
การคำนวณการดูดกลับคาร์บอนมักใช้แนวทาง IPCC เช่น:
ปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บในชีวมวล: คำนวณจากพื้นที่ป่า ความหนาแน่นของต้นไม้ และอัตราการเจริญเติบโตของพืช
การเปลี่ยนแปลงปริมาณคาร์บอนในดิน: วิเคราะห์จากชนิดดิน วิธีการใช้ที่ดิน และอัตราการหมุนเวียนคาร์บอน
การคำนวณคาร์บอนสุทธิ (Net Carbon Balance) สามารถทำได้โดย:
คาร์บอนสุทธิ=การปล่อยก๊าซเรือนกระจก−การดูดกลับก๊าซเรือนกระจก
หากผลลัพธ์เป็นบวก หมายความว่ามีการปล่อยสุทธิ หากเป็นลบ หมายความว่ามีการดูดกลับสุทธิมากกว่า
IPCC Software: ใช้ตามแนวทางการคำนวณของ IPCC 2006 Guidelines
COMET-Farm: ใช้คำนวณการปล่อยและการกักเก็บคาร์บอนในระบบการเกษตร
EX-ACT: ใช้สำหรับการประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน
การคำนวณและประเมินการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เนื่องจากต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น ข้อมูลกิจกรรม ปัจจัยการปล่อย และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของก๊าซเรือนกระจกและแหล่งที่มาของการปล่อย
การจัดทำรายงานการประเมินคาร์บอนฟุตปรินท์ (Carbon Footprint Reporting) เป็นขั้นตอนสำคัญหลังจากการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสรุปข้อมูลและนำเสนอผลการประเมินที่ได้อย่างชัดเจนและโปร่งใส รายงานนี้มีบทบาทสำคัญทั้งในการสื่อสารภายในองค์กร การวางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซ และการรายงานต่อหน่วยงานภายนอกหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) เช่น ผู้บริโภค นักลงทุน และหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานต่าง ๆ
การจัดทำรายงานที่ดีจะต้องมีความครบถ้วน โปร่งใส และอ้างอิงตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ เช่น ISO 14064, ISO 14067, หรือ GHG Protocol ซึ่งโครงสร้างและเนื้อหารายงานสามารถแบ่งได้ดังนี้:
หน้าปก (Cover Page)
ชื่อองค์กรหรือชื่อผลิตภัณฑ์
ชื่อรายงาน เช่น “รายงานการประเมินคาร์บอนฟุตปรินท์ขององค์กร” หรือ “Carbon Footprint of Product Report”
ปีที่ประเมินและช่วงเวลาที่ข้อมูลอ้างอิง
ชื่อผู้จัดทำหรือผู้รับรอง
สารบัญ (Table of Contents)
ระบุหัวข้อและหมวดหมู่ของเนื้อหาในรายงาน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวก
บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
สรุปประเด็นสำคัญของการประเมิน เช่น ผลการประเมินคาร์บอนฟุตปรินท์ทั้งหมดขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์
เป้าหมายการลดคาร์บอนและแนวทางในการปรับปรุง
ข้อมูลเบื้องต้นขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ (Introduction)
ข้อมูลทั่วไปขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ เช่น ประวัติ วัตถุประสงค์ และขอบเขตการดำเนินงาน
อธิบายถึงเหตุผลในการจัดทำรายงานและการเลือกมาตรฐานที่ใช้ในการประเมิน
ขอบเขตการประเมิน (Assessment Boundaries)
กำหนดขอบเขตทางกายภาพ (Physical Boundary): เช่น โรงงาน สำนักงาน หรือกระบวนการผลิตเฉพาะ
กำหนดขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission Boundary): ระบุ Scope 1, Scope 2, และ Scope 3 ที่ต้องการประเมิน
รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของข้อมูลและแหล่งที่มาที่ครอบคลุมในการประเมิน เช่น การใช้ไฟฟ้า การขนส่ง และการจัดการของเสีย
วิธีการเก็บข้อมูลและแหล่งที่มาของข้อมูล (Data Collection Methodology)
ระบุข้อมูลที่ใช้ เช่น ปริมาณเชื้อเพลิง การใช้ไฟฟ้า หรือข้อมูลการขนส่ง
อธิบายแหล่งข้อมูล เช่น ข้อมูลภายในองค์กร ข้อมูลจากซัพพลายเออร์ หรือข้อมูลจากฐานข้อมูลมาตรฐาน
วิธีการจัดเก็บข้อมูล เช่น การวัดจากอุปกรณ์ การเก็บข้อมูลเชิงสถิติ หรือการประเมินตามการประมาณการ
วิธีการคำนวณและปัจจัยการปล่อย (Calculation Methodology and Emission Factors)
อธิบายวิธีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใช้ในแต่ละกิจกรรม เช่น การคำนวณจากกิจกรรม (Activity Data) และปัจจัยการปล่อย (Emission Factors)
ระบุแหล่งที่มาของปัจจัยการปล่อย เช่น IPCC, DEFRA, หรือฐานข้อมูลขององค์กร TGO ในประเทศไทย
ระบุสูตรการคำนวณและหน่วยของการวัดที่ใช้ เช่น kg CO₂e/kWh สำหรับการใช้ไฟฟ้า
ผลการประเมินคาร์บอนฟุตปรินท์ (Carbon Footprint Assessment Results)
แสดงผลการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบตัวเลขหรือกราฟ แบ่งตามประเภทก๊าซ (CO₂, CH₄, N₂O)
แบ่งผลลัพธ์ตาม Scope 1, Scope 2, และ Scope 3 พร้อมรายละเอียดในแต่ละแหล่งที่มา เช่น การใช้พลังงาน การขนส่ง และการจัดการของเสีย
การแสดงผลการประเมินในรูปของหน่วย CO₂e (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
การตีความผลการประเมิน (Interpretation of Results)
วิเคราะห์และแปลความหมายของผลการประเมิน เช่น แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซที่สูงที่สุด และปัจจัยที่ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซมากที่สุด
ระบุถึงแนวทางการปรับปรุงเพื่อลดการปล่อยก๊าซในแต่ละแหล่งที่มา
แนวทางการลดคาร์บอนและเป้าหมายการลด (Carbon Reduction Strategies and Targets)
ระบุแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน การปลูกป่า
กำหนดเป้าหมายการลดคาร์บอนทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การลดการปล่อย CO₂ ลง 10% ภายใน 5 ปี
ระบุวิธีการติดตามความก้าวหน้าและการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
การตรวจสอบและการรับรองผล (Verification and Assurance Statement)
รายงานการตรวจสอบและการรับรองโดยบุคคลภายนอก (Third-party Verification) หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณวุฒิ
ระบุผู้ที่ตรวจสอบ ช่วงเวลาที่ตรวจสอบ และมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบ
บทสรุป (Conclusion)
สรุปผลการประเมินและเป้าหมายขององค์กรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เน้นย้ำความสำคัญของการจัดการคาร์บอนฟุตปรินท์และความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน
ภาคผนวก (Appendices)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ใช้ในการคำนวณ เช่น ตารางแสดงปริมาณการใช้พลังงาน ตารางการใช้วัตถุดิบ
แหล่งที่มาของข้อมูล อ้างอิง และสมการการคำนวณ
ความถูกต้องและโปร่งใส: ข้อมูลและวิธีการคำนวณต้องมีความแม่นยำและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
การอ้างอิงมาตรฐาน: การจัดทำรายงานควรอิงตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ISO 14064, ISO 14067, หรือ GHG Protocol
การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ: การนำเสนอผลการประเมินควรใช้กราฟ แผนภูมิ หรือภาพประกอบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย
การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: การสื่อสารผลลัพธ์และแนวทางการลดคาร์บอนควรมีความชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
รายงานการประเมินคาร์บอนฟุตปรินท์ที่จัดทำอย่างดีและโปร่งใสจะช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินการด้านการจัดการคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นพื้นฐานในการปรับปรุงกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint Label) เป็นเครื่องหมายที่ใช้แสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสินค้าที่ตนเลือกซื้อ และส่งเสริมให้เกิดการบริโภคที่ยั่งยืนมากขึ้น
การแสดงข้อมูลความโปร่งใส: ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณเท่าใดในแต่ละขั้นตอน เช่น การผลิต การขนส่ง และการใช้งาน
การส่งเสริมความยั่งยืน: การใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์กระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต เพื่อให้สินค้าของตนมีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำที่สุด
การเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค: ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำกว่า โดยดูจากฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint Label)
แสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เช่น จำนวนกิโลกรัมของ CO₂ ที่เกิดขึ้นในแต่ละหน่วยผลิตภัณฑ์ (เช่น "ผลิตภัณฑ์นี้มีคาร์บอนฟุตพรินต์เท่ากับ 5 kg CO₂e")
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ลดลง (Carbon Reduction Label)
แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้ผ่านการปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ลงแล้ว เช่น ลดการใช้พลังงาน ลดการใช้วัตถุดิบ หรือเปลี่ยนไปใช้กระบวนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ที่เป็นกลาง (Carbon Neutral Label)
แสดงว่าผลิตภัณฑ์หรือองค์กรนั้น ๆ ได้ทำการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การปลูกป่า หรือการซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อให้ปริมาณการปล่อยก๊าซสุทธิเท่ากับศูนย์
การรวบรวมข้อมูล
เก็บข้อมูลการใช้พลังงาน วัตถุดิบ การขนส่ง และการจัดการของเสียในกระบวนการผลิตเพื่อนำมาคำนวณ
การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์
ใช้วิธีการวิเคราะห์วงจรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA) ในการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัด)
การตรวจสอบและการรับรอง
ส่งผลการคำนวณไปยังหน่วยงานรับรองมาตรฐาน (เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและขอรับฉลาก
ในประเทศไทย ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ได้รับการดูแลและออกโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO (Thailand Greenhouse Gas Management Organization) โดยมีรูปแบบฉลาก 3 ประเภทที่สำคัญ ได้แก่:
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product)
เป็นฉลากที่แสดงปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ลดลง (Carbon Footprint Reduction)
แสดงว่าผลิตภัณฑ์มีการลดคาร์บอนฟุตพรินต์เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากปีก่อนหน้า
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นกลาง (Carbon Neutral)
แสดงว่าผลิตภัณฑ์หรือองค์กรได้ดำเนินการลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดแล้ว จนกระทั่งมีการปล่อยสุทธิเท่ากับศูนย์
Carbon Trust Standard (UK)
ใช้ในผลิตภัณฑ์และบริการในสหราชอาณาจักร เป็นหนึ่งในฉลากที่ได้รับความน่าเชื่อถือและแสดงถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง
Climatop (EU)
ฉลากที่ใช้ในกลุ่มประเทศยุโรป แสดงว่าผลิตภัณฑ์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และมีการปรับปรุงเพื่อลดการปล่อยอย่างต่อเนื่อง
Carbonfree® Certified (USA)
ฉลากที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการคำนวณและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เพื่อให้มีคาร์บอนฟุตพรินต์สุทธิเท่ากับศูนย์
ช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ส่งเสริมให้ผู้ผลิตมองหาวิธีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตของตน
สร้างความตระหนักในหมู่ผู้บริโภค
ผู้บริโภคสามารถใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ในการเลือกซื้อสินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร
การแสดงฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์สามารถช่วยให้องค์กรแสดงถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสร้างความเชื่อมั่นในด้านความยั่งยืน
ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับทุกภาคส่วน
21 ตุลาคม 2567
Zero Carbon หรือ การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) หมายถึงสภาวะที่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หรือก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ ถูกชดเชยให้เท่ากับศูนย์ โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือชดเชยปริมาณที่ปล่อยออกไปด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม หรือชีวมวล) แทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล
ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน อุตสาหกรรม และอาคารต่าง ๆ
ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะที่ปล่อยมลพิษต่ำ
การชดเชยการปล่อยคาร์บอน
ปลูกป่าใหม่และเพิ่มพื้นที่สีเขียว เนื่องจากต้นไม้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ
ลงทุนในโครงการชดเชยคาร์บอน เช่น การจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage - CCS)
สนับสนุนโครงการคาร์บอนเครดิต ที่ช่วยให้ประเทศหรือองค์กรอื่นที่ลดการปล่อยก๊าซได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
การใช้เทคโนโลยีจับและกักเก็บคาร์บอน
เทคโนโลยีนี้ช่วยดักจับก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมหรือโรงงานไฟฟ้า และเก็บรักษาไว้ใต้ดินหรือนำไปใช้งานในกระบวนการอื่น ๆ
การบรรลุเป้าหมาย Zero Carbon มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา ภาวะโลกร้อน และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเกิดจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ หากประเทศและองค์กรทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมายนี้ จะช่วยลดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)
ประเทศ: หลายประเทศประกาศเป้าหมายที่จะปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น
องค์กร: บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft และ Google ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กร Zero Carbon หรือ Carbon Negative เพื่อลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตนเอง
เมือง: หลายเมืองใหญ่ เช่น โคเปนเฮเกน และซานฟรานซิสโก กำลังพัฒนาสู่เมือง Zero Carbon ด้วยการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและระบบขนส่งสะอาด
สรุปได้ว่า Zero Carbon เป็นแนวทางที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก โดยเน้นทั้งการลดและการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นก๊าซหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) คาร์บอนเครดิตเป็นใบรับรอง (Certificate) ที่แสดงถึงการลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณหนึ่ง โดยมักใช้เป็นหน่วย 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (1 Ton of CO₂ Equivalent)
คาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นจากการลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Projects) โครงการปลูกป่า หรือโครงการจัดการขยะ
แต่ละโครงการจะต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อออกใบรับรองว่าการดำเนินการนั้นได้ช่วยลดปริมาณ CO₂ ได้จริงตามที่ระบุไว้
หน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในการออกคาร์บอนเครดิต เช่น Verified Carbon Standard (VCS) หรือ Gold Standard
คาร์บอนเครดิตสามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอน (Carbon Market) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
ตลาดภาคบังคับ (Compliance Market)
ตลาดประเภทนี้เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) หรือ ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งกำหนดให้ประเทศหรือบริษัทที่มีการปล่อย CO₂ สูงเกินเกณฑ์จะต้องทำการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซของตนเอง
ตัวอย่าง: ระบบการซื้อขายคาร์บอนของสหภาพยุโรป (EU Emissions Trading System: EU ETS)
ตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market)
ตลาดที่เกิดจากความสมัครใจขององค์กรหรือบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน
ตลาดนี้มีความยืดหยุ่นสูงกว่าและสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าตลาดภาคบังคับ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านความยั่งยืน (Sustainability) หรือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
คาร์บอนเครดิตกระตุ้นให้บริษัทและหน่วยงานต่าง ๆ พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง เนื่องจากหากปล่อยเกินเกณฑ์จะต้องซื้อเครดิตมาชดเชย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงการที่ช่วยลดการปล่อย CO₂ เช่น โครงการพลังงานทดแทน การปลูกป่า และโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศ
สร้างรายได้ให้กับโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
โครงการที่ช่วยลดการปล่อย CO₂ เช่น การปลูกป่า สามารถขายคาร์บอนเครดิตที่ได้ให้แก่บริษัทที่ต้องการชดเชยการปล่อย CO₂ ของตนเอง ทำให้เกิดรายได้เพื่อสนับสนุนโครงการในระยะยาว
สมมติว่า บริษัท A เป็นโรงงานผลิตเหล็กที่มีการปล่อย CO₂ จำนวน 10,000 ตันต่อปี ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ บริษัท A จึงจำเป็นต้องทำการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการพลังงานลมที่สามารถลดการปล่อย CO₂ ได้ 10,000 ตันต่อปี การทำเช่นนี้จะช่วยให้บริษัท A สามารถชดเชยการปล่อย CO₂ ของตนและปฏิบัติตามข้อกำหนดได้
ความไม่ชัดเจนในมาตรฐาน
ตลาดคาร์บอนเครดิตยังไม่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือของคาร์บอนเครดิตในตลาดต่าง ๆ
การทุจริตและการตรวจสอบ
บางโครงการอาจมีการปลอมแปลงข้อมูลหรือไม่มีการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพียงพอ ทำให้คาร์บอนเครดิตที่ได้มาไม่มีความน่าเชื่อถือ
การพึ่งพาการชดเชยมากเกินไป
บางบริษัทอาจใช้การซื้อคาร์บอนเครดิตแทนการลงทุนเพื่อลดการปล่อย CO₂ ในกระบวนการผลิตของตนเอง ทำให้ไม่ได้แก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างแท้จริง
การใช้คาร์บอนเครดิตจะได้รับความสำคัญมากขึ้นเนื่องจาก:
ความมุ่งมั่นของประเทศต่าง ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามความตกลงปารีส (Paris Agreement)
การเพิ่มขึ้นของมาตรฐานความยั่งยืน ที่กดดันให้บริษัทต้องมีการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ปี 2050
การเพิ่มการลงทุนในโครงการคาร์บอนเครดิต โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
คาร์บอนเครดิตจึงเป็นกลไกหนึ่งที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนความพยายามในการปกป้องสิ่งแวดล้อมของโลกได้ในระยะยาว